PTTGC ตั้งเป้าปริมาณการขายปี 67 โตขึ้น 10% จากปีนี้ ชี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีผ่านจุดต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 2/66 พร้อมอัดงบลงทุน 2.2 หมื่นล้านบาท จ่อซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่ม
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2567 มีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากมีปริมาณการขายเติบโต 10% จากปีนี้มีปริมาณการขายเม็ดพลาสติกราว 17 ล้านตัน โดยในปีหน้าโรงงานอะโรเมติกส์จะกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังผลิตซึ่งจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่แล้ว รวมทั้งมาร์จิ้นปิโตรเคมีก็ปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) ที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดโลกน้อยลงแต่มีความต้องการเพิ่มขึ้น กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) เนื่องด้วยมองว่าภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/2566
รวมทั้ง allnex คาดว่าจะมีปริมาณการขายที่ดีขึ้นกว่าปีตามความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งในเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจการกลั่นอาจปรับตัวลงตามค่าการกลั่นที่ชะลอลง
นายคงกระพันกล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 2.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างราว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 พันล้านบาท และใช้ซ่อมบำรุงปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดค่าใช้จ่าย โดยปีนี้ลดค่าใช้จ่ายไปแล้ว 5-6 พันล้านบาท/ปี
นายคงกระพันกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ หรือการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบ ดังนั้นบริษัทฯ จึงศึกษาการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เพื่อรับมือความเสี่ยงทางธุรกิจที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยจะมีการขายสินทรัพย์ในบางส่วนออกไปให้กับพันธมิตร คาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นในปีหน้า
“ในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ allnex มีVolume ดีขึ้นทั้งจากจีน อินเดีย และคาดว่าจะดีต่อเนื่องในปี 2567 แม้ว่าการซื้อกิจการของ allnex จะยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีปริมาณการขายลดลง แต่ก็มีกำไรเข้ามาปีละประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ”
รวมถึงบริษัทยังเตรียมความพร้อมในการออกหุ้นกู้ทั้งสกุลเงินดอลลาร์และเงินบาท โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการซื้อคืนหุ้นกู้มาแล้ว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้กำไรอยู่ที่ 500 ล้านบาท คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะมีกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้นหากมีการซื้อหุ้นกู้เพิ่มเติม
นายคงกระพันกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ภายใต้การดำเนินโครงการของบริษัทลูก คือ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่อง 2-3 ปีหลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (NatureWorks) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด (PLA) คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 มีกำลังผลิต 7.5 หมื่นตัน/ปี
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,614 ล้านบาท โดยรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ นอกจากนี้ ธุรกิจโมโนเอทิลีนไกลคอลยังกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในช่วงครึ่งปีแรก