หุ้นไทยปิดตลาดร่วงแรง -23.69 จุด นักวิเคราะห์เผยตลาดกังวลภาวะผลกระทบสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยืดเยื้อลุกลามและอาจบานปลายไปประเทศต่างๆ หลังการเจรจายังไร้ผล อีกทั้ง Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งเกือบ 5% หลังประธานเฟดให้ความเห็นยังมีความจำเป็นขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น มองกรอบการลงทุนสัปดาห์หน้าแนวต้านที่ 1,410-1,420 และแนวรับที่ 1,380-1,390 จุด แนะจับตาสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ส่งผลต่อภาพการลงทุน
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 20 ต.ค.2566 ปรับตัวลดลง -23.69 จุด หรือ -1.66% โดยปิดตลาดที่ 1,399.35 จุด มูลค่าการซื้อขาย 52,983.02 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายภาคเช้า โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,422.23 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,397.80 จุด โดยลดลงต่ำกว่า 1,400 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 61 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 84 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 508 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,283.21 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -1,215.31 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -890.07 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -177.83 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,684.70 ล้านบาท ปิดที่ 129.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
2.SCB มูลค่าการซื้อขาย 3,445.91 ล้านบาท ปิดที่ 99.75 บาท ลดลง 3.75 บาท
3.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,362.71 ล้านบาท ปิดที่ 173.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
4.HANA มูลค่าการซื้อขาย 1,711.50 ล้านบาท ปิดที่ 55.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
5.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,567.08 ล้านบาท ปิดที่ 167.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK ปิดที่ 129.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.98%
2.PTTEP ปิดที่ 173.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 1.17%
3.AMATA ปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.98%
4.TASCO ปิดที่ 17.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 2.41%
5.TU ปิดที่ 13.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.75%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่ 220.00บาท ลดลง 6.00บาท หรือ 2.65%
2.SCB ปิดที่ 99.75บาท ลดลง 3.75บาท หรือ 3.62%
3.DELTA ปิดที่ 81.25บาท ลดลง 2.75บาท หรือ 3.27%
4.HANAปิดที่ 55.50บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 4.31%
5.KCEปิดที่ 52.00บาท ลดลง 2.25 บาท หรือ 4.15%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,917.61 จุด ลดลง -32.51 จุด หรือ -1.67% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 863.93 จุด ลดลง -14.05 จุด หรือ -1.60% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 407.88 จุด ลดลง -8.07 จุด หรือ -1.94%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยปัจจัยหลักยังคงมาจากปัจจัยสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง และกังวลสถานการณ์จะบานปลาย โดยเฉพาะความพยายามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะของบประมาณในการช่วยอิสราเอลในการสู้รบกับกลุ่มฮามาส ทำให้สงครามอาจขยายวงกว้างขึ้น ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) รัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี พุ่งขึ้นต่อเนื่องแตะระดับเกือบ 5% หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาแสดงความเห็นในการที่ยังมีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และเป็นปัจจัยที่กดดันต่อตลาดหุ้น
"แนวโน้มในสัปดาห์หน้ายังคงต้องติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อทิศทางต่อตลาดหุ้น แต่มองว่าดัชนี SET ที่ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก อาจจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนระยะกลาง-ยาว สามารถทยอยเข้าสะสมได้ โดยให้แนวต้าน 1,410-1,420 แนวรับ 1,380-1,390 จุด" นายชัยพร กล่าว