ราคาหุ้นบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทรุดฮวบสนิทติดฟลอร์ สร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบปี หลังมีข่าวบริษัทหลักทรัพย์บางแห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นกู้ PRIME ประกาศยกเลิกการจำหน่ายหุ้นกู้ เนื่องจากมียอดการจองซื้อต่ำกว่าประมาณการ
PRIME ออกหุ้นกู้รวม 2 รุ่น วงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม 500 ล้านบาท และใช้เงินลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน โดยกำหนดขายวันที่ 3-4 สิงหาคม และวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
หุ้นกู้รุ่นแรก อายุ 1 ปี 7 เดือน กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5.95% ต่อปี และรุ่นที่สอง อายุ 2 ปี 4 เดือน กำหนดอัตราดอกเบี้ย 6.15% ต่อปี โดยเครดิตหุ้นกู้ระดับ BBB- ไม่มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
ก่อนหน้ามีข่าวการขายหุ้น PRIME จำนวน 2 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.30 บาท ของนายพิรุณ ชินวัตร หลานชายนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 ของบริษัท ในจำนวน 155 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 3.64% ของทุนจดทะเบียน
แต่การขายหุ้นของนายพิรุณ ไม่น่าจะมีผลลบกับราคาหุ้น PRIME มากนัก โดยราคาหุ้นที่ทรุดฮวบลงมาปิดติดฟลอร์ 30% สนิทที่ 79 สตางค์ ลดลง 34 สตางค์ หรือลดลง 30.09 สตางค์ น่าจะเกิดจากหุ้นกู้ที่มีปัญหาการขายมากกว่า
เพราะถ้าระดมทุน 200 ล้านบาท จากการออกหุ้นกู้ไม่ได้ตามเป้าหมาย PRIME อาจมีปัญหาในการจัดหาแหล่งเงินทุนและปัญหาสภาพคล่องในอนาคต
นักลงทุนจึงแห่เทขายหุ้นทิ้ง เพราะกังวลในฐานะทางการเงินที่จะตามมา
ผลประกอบการ PRIME ไม่ได้เลวร้ายนัก เพราะมีกำไรสุทธิต่อเนื่อง เพียงแต่ผลกำไรชะลอตัวลงเท่านั้น
ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 288.26 ล้านบาท ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 130.08 ล้านบาท ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 137.07 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 81.48 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 91.11 ล้านบาท
ค่าพี/อี เรโช PRIMEอยู่ที่ 26 เท่า แต่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลมายาวนาน แม้ผลประกอบการมีกำไรก็ตาม
ไม่มีรายงานว่า หู้นกู้ PRIME จำนวน 200 ล้านบาท ที่ปิดการขายไปแล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ยกเลิกการขายทั้งจำนวน หรือมีเพียงบางบริษัทตัวแทนจำหน่ายเท่านั้นที่ยกเลิกการขาย
แต่ราคาหุ้น PRIME ที่ถูกทุบขายจนติดดินนั้น สะท้อนให้เห็นว่า การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนมีผลต่อราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจของนักลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงต้องเร่งหารือกันโดยด่วน เพื่อกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนที่ออกหุ้นกู้ต้องรายงานผลการขายหุ้นกู้ทันทีหลังปิดการเสนอขาย
เช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งหลักทรัพย์กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานผลการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทันทีที่ปิดการขาย เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุน
ปีนี้บริษัทจดทะเบียนหันมาระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้จำนวนมาก เพราะการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก โดยธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อป้องกันหนี้เสีย
การระดมทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนไม่ง่ายเหมือนในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก และถ้าประกาศเพิ่มทุนจะกลายเป็นการกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้ง เพราะไม่ต้องการใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาในบริษัทจดทะเบียน
บริษัทจดทะเบียนจึงเบนเข็มมาระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้ แต่ถ้าหุ้นกู้ขายไม่ออกจะกระทบกับการซื้อขายหุ้นสามัญ เพราะนักลงทุนเทขายหุ้นตามมา เช่น หุ้น PRIME ที่ถูกทบจมดิน สังเวยหุ้นกู้ที่ขายไม่ออก
การรายงานผลขายหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนโดยทันที หลังปิดการเสนอขาย กลายเป็นข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผู้ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน และผู้ลงทุนในหุ้นกู้
เพราะนักลงทุนได้รู้ว่า บริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนซื้อหุ้นไว้ประสบความสำเร็จในการระดมทุนหรือไม่ และสามารถนำข้อมูลการเสนอขายหุ้นกู้มาพิจารณาตัดสินใจวางแผนการลงทุน
นอกจากนั้น ยังช่วยให้นักลงทุนทั่วไป และสนใจลงทุนในหุ้นกู้ มีข้อมูลที่จะสามารถประเมินตลาดหุ้นกู้ โดยมีความระมัดระวังมากขึ้น และพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะลงทุนซื้อหุ้นกู้บริษัทใดหรือไม่
หรืออาจตัดสินใจหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ชั่วคราว
เพราะความเสี่ยงการลงทุนหุ้นกู้สูงมาก เสี่ยงต่อการถูกเบี้ยว โดยเมื่อหุ้นกู้ครบกำหนดระยะเวลา ผู้ออกหุ้นกู้ไม่มีเงินไถ่ถอน
ไม่มีใครรู้ว่า บริษัทจดทะเบียนที่ออกหุ้นกู้กันโครมๆ ตั้งดอกเบี้ยสูงๆ ไว้ล่อใจนั้นมีหุ้นกู้บริษัทใดที่ขายไม่ออกเหมือนหุ้นกู้ PRIME บ้าง
หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียนสร้างความเสียหายให้ประชาชนผู้ลงทุนรวมๆ แล้วเรือน 1 แสนราย
แต่ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่เคยขยับแก้ปัญหาหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนแต่อย่างใด
จะรอให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ลงมากระทุ้งเช่นเดียวกับปัญหาหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE และหุ้น บริษัท สตาร์ค คอเปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK อีกหรือ
หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียนเละไปหมดแล้ว สร้างความเสียหายในวงกว้าง ก.ล.ต.จะยืนดูความล่มสลายของนักลงทุนต่อไปหรือ