อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ครั้งที่ 2/2566 จำนวน 2 ชุด เสนอขายมูลค่ารวมไม่เกิน 770 ล้านบาท และมีสำรองเพิ่มเติมมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท ให้ผลตอบแทน 6.25%-6.70% ต่อปี เปิดจองระหว่างวันที่ 22-26 ก.ย.นี้ ระดมทุนเพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่ วงเงินรวมไม่เกิน 1,270 ล้านบาท ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 3 เดือน ผลตอบแทน 6.25% และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราผลตอบแทน 6.7% เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งจำนวนของหุ้นกู้ชุดที่ 1 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 ที่เสนอขายคิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 770 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท รวมจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,270 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดจองได้ระหว่างวันที่ 22-26 ก.ย.นี้
สำหรับวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำเงินไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อใช้ทดแทนกระแสเงินสด และ/หรือคืนเงินกู้ยืมที่ใช้จ่ายคืนหุ้นกู้ของบริษัท รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
"บริษัทมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเหมือนเช่นเคย โดยหุ้นกู้ทุกรุ่นที่ออกโดย EP ที่ผ่านมานั้นสามารถจ่ายอัตราดอกเบี้ยได้ครบ และตรงตามกำหนดทุกรุ่น เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ไปใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งสามารถนำไปขยายการลงทุน เพื่อผลักดันผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว" นายยุทธ กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตมากกว่า 50% เนื่องจากบริษัทขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยภายในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ บริษัทจะเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม กำลังการผลิต 160 เมกะวัตต์ (MW) ในประเทศเวียดนาม มูลค่าการลงทุนประมาณ 223.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,040.92 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดดังกล่าวจะเสนอขายผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด บริษัท หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)