อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป นำเงินสดกว่า 760 ล้านบาท ชำระคืนหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยที่ครบกำหนดไถ่ถอน 17 ก.ย.นี้ สะท้อนสถานะทางการเงินและมีสภาพคล่องแข็งแกร่ง ผู้บริหารย้ำหุ้นกู้ EP ทุกรุ่นจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนเงินต้นครบตรงตามกำหนดทุกงวด ลุยขยายลงทุนโรงไฟฟ้าในและต่างประเทศ จ่อ COD วินด์ฟาร์มเวียดนาม 160 MW ปั้น Recurring Income ผลักดันผลงานโตก้าวกระโดด
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2564 ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี วงเงิน 750 ล้านบาท กำหนดอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 5.25% ต่อปี ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 17 กันยายน 2566 นั้น วันนี้ (15 ก.ย.) บริษัทฯ ได้นำเงินสดจำนวน 760 ล้านบาท สำหรับชำระคืนหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยชุดดังกล่าวไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ได้ชำระคืนเงินหุ้นกู้รุ่น EP239A ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 17 กันยายนนี้แล้ว ทั้งนี้ หุ้นกู้ทุกรุ่นที่ออกโดย EP ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถจ่ายดอกเบี้ย และไถ่ถอนได้ตามกำหนด ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินได้เป็นอย่างดี” นายยุทธ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ 2 ชุด เสนอขายรวมมูลค่าไม่เกิน 770 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรอง (Greenshoe) เพื่อเสนอขายเพิ่มเติมมูลค่าไม่เกิน 500 ล้านบาท เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ช่วงวันที่ 22-26 กันยายน 2566 โดยกำหนดอัตราผลตอบแทน 6.25-6.7% มั่นใจว่า จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอายุและนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศตามแผนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม กำลังการผลิต 160 เมกะวัตต์ (MW) ที่ประเทศเวียดนาม ขณะนี้ได้ดำเนินการเชื่อมสายส่งของโครงการ HL3,4 รวม 60 เมกะวัตต์ เข้ากับสถานีไฟฟ้าย่อย Lao Bao และของโครงการ Gia Lai รวม 100 เมกะวัตต์ เข้ากับสถานีไฟฟ้าย่อย Dien Hong/Chu Se ของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งโครงการได้เริ่มทำการทดลองเดินเครื่อง ทดสอบระบบการจ่ายไฟฟ้าตามข้อกำหนดของ EVN แล้ว โดยคาดว่าตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะทยอยเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) และรับรู้รายได้ในทันทีอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2586 จึงมั่นใจว่ารายได้รวมปี 2566 เป็นต้นไปจะเติบโตกว่า 50% ตามเป้าหมายที่วางไว้
