“บีซีพีจี” มั่นใจผลดำเนินงานครึ่งหลังปี 2566 สูงกว่าครึ่งปีแรก มาจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวกลับมาผลิตได้เต็มที่ โรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯและโครงการคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือที่เพชรบุรี
นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2566 จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 2,149.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 713 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาวที่กลับมาผลิตอีกครั้งหลังจากหยุดผลิตไฟฟ้าเพื่อเตรียมระบบสายส่งสำหรับขายไฟฟ้าไปยังการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Vietnam Electricity - EVN) และมีปริมาณน้ำในเขื่อนมากเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือที่จังหวัดเพชรบุรี ภายหลังจากเข้าซื้อหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดในบริษัท เอเชียลิงค์ เทอมินัล จำกัด (ALT) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีถังเก็บน้ำมัน 20 ถัง ความจุ 710 ล้านลิตร ท่อส่งน้ำมันและท่าเรือสำหรับขนถ่ายน้ำมัน ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ประจําสม่ำเสมอ (Recurring Income) ตามแผนการดําเนินธุรกิจ และแผนการลงทุนของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงสามารถต่อยอดเพื่อรองรับธุรกิจอื่นๆ ในอนาคต
บีซีพีจีรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จำนวน 4 โรง คิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 857 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แครอล เคาน์ตี้ เอนเนอร์ยี่ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 700 เมกะวัตต์ ในเขตแครอล รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นอีก 40% รวมเป็น 48.7% ทำให้รับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 61 เมกะวัตต์ เป็น 341 เมกะวัตต์
ส่วนค่าแอดเดอร์ (Adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่จะทยอยหมดอายุไปจนถึงปี 2568 นั้น ขณะนี้บริษัทสามารถขยายการลงทุนใหม่เพื่อมาชดเชยรายได้จาก Adder ที่จะสิ้นสุดลงได้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้น การลดลงของ Adder จึงไม่กระทบต่อผลการดําเนินงานของบริษัทอีกต่อไป
