ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ธอส. เผยผลสำรวจที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2/66 พบหน่วยเสนอขายเพิ่มขึ้น 3.3% สวนทางกันหน่วยเปิดตัวใหม่ที่จำนวนลดลง -19.0% ด้านยอดขายใหม่หดตัว -32.3% แนะเฝ้าระวังอาคารชุดพบหน่วยเหลือขายพุ่ง 11.2% “ออริจิ้น” ชี้ 2 ไตรมาสแรกตลาดแยกเชื่อรัฐออกมาตรการกระตุ้น คาดครึ่งปีหลังตลาดฟื้นตัวรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐออก ปี 67 ขอรัฐออก 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯ
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 พบว่า ตลาดมีหน่วยเสนอขายที่อยู่อาศัย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร และอาคารชุด 206,246 หน่วยขยายตัว 3.3% มูลค่า 1,019,318 ล้านบาท 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีโครงการเปิดใหม่ 23,080 หน่วย หรือ 11.19% ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่า 127,774 ล้านบาท หรือ 12.54% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งหน่วยที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -19.0% และ -6.6% ตามลำดับ ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 11,224 หน่วย มูลค่า 80,299 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -7.8% โครงการอาคารชุดจำนวน 11,856 หน่วย จำนวนหน่วยลดลง -27.3% มูลค่าโครงการ 47,475 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้น5.9%
ในด้านยอดขายพบว่าไตรมาส 2 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 15,959 หน่วย มูลค่ารวม 83,499 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง -32.3% มูลค่าลดลง -28.4% ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายได้ใหม่ของโครงการอาคารชุด จำนวน 5,909 หน่วย มูลค่าโครงการรวม มูลค่า 24,900 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลง -56.5% มูลค่าลดลง -53.1% และเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 10,050 หน่วย มูลค่า 59,490 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 0.7% มูลค่าลดลง -8.9%
ด้านที่อยู่อาศัยเหลือขายพบว่าไตรมาส 2 ปี 2566 มีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งสิ้น 190,287 หน่วย เพิ่มขึ้น 8.0% มูลค่า 935,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% แบ่งออกเป็นอาคารชุด 74,230 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.2% มูลค่า 290,637 ล้านบาท ลดลง -1.3% และบ้านจัดสรร จำนวน 116,057 หน่วย เพิ่มขึ้น 6.1% มูลค่า 645,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8%
นายพีระพงษ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นี้ในช่วง 2 ไตรมาสแรก ตลาดค่อนข้างแย่ ครึ่งหลังของปีนี้ตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้น หลังจากได้รัฐบาลใหม่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ดี ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในทันที เช่น การลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมัน เพื่อแบ่งเบาภาระผู้บริโภค รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลได้ยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน ที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ และจะส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าประเทศ
“ด้วยภาพลักษณ์การเข้ามาของรัฐบาลในชุดนี้อาจไม่สวยงามนักทำให้รัฐบาลต้องเร่งสร้างผลงานโดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่าการมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯ เนื่องจากนายกฯ มีความรู้และเข้าใจกลไกและความต้องการของตลาดอยู่แล้วประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบได้ดีกว่าการกระตุ้นผ่านภาคธุรกิจอื่นๆ
นายพีระพงษ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เชื่อว่านายกฯ มีความรู้และความเข้าใจตลาดดีอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้มาตรการที่ออกมาค่อนข้างตรงกับความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วต้องการให้ มาตรการที่ออกมาครอบคลุมใน 3 ส่วน ประกอบด้วย
· การส่งเสริมโครงการบ้านหลังแรก ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานและต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งอาจใช้มาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการซื้อบ้านหลังแรก
· การผ่อนผันบังคับใช้มาตรการ LTV หรือยกเว้นในช่วง 1-2 ปีจากนี้ เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดรวม และเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งกลุ่มนี้มีกำลังซื้อและไม่น่ากังวลว่าจะก่อให้เกิดปัญหาการก่อหนี้เสีย
· ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย เช่นเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้าที่มีดำริโครงการให้วีซ่าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยราคาแพง หรือดึงกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูงทั้งทางธุรกิจการศึกษาและวิชาชีพเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย