นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (15 ก.ย.) ที่ระดับ 35.79 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.65-35.85 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.72-35.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยผันผวนไปตามทิศทางของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าไปตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี การรีบาวนด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นบางส่วนในตลาด ทั้งผู้ส่งออกและผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (ขายทำกำไร) ได้ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทให้อยู่ในโซนแนวต้าน 35.80-35.85 บาทต่อดอลลาร์ที่เราได้ประเมินไว้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะส่งสัญญาณการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ แต่ยังคงออกมาดูดีกว่าประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวันเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ และอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเข้ามากดดันเงินบาทได้บ้าง ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาของเงินเยนญี่ปุ่นอาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่างบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่น ทยอยเข้าซื้อเงินเยนได้บ้างเช่นกัน
อนึ่ง เรามองว่าควรจับตาและระวังความผันผวนในตลาดการเงินฝั่งเอเชียในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ เรามองว่า ค่าเงินหยวนของจีน (CNY) มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย และอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
แม้เราประเมินว่าเงินบาทอาจมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง แต่การอ่อนค่าอาจจำกัดอยู่ในช่วง 35.80-35.85 บาทต่อดอลลาร์ แต่มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาททดสอบโซนแนวต้าน 36 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนค่าสุดที่เราเคยประเมินไว้ในวันที่ 28 มิถุนายน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาแย่กว่าคาด กดดันบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชีย ขณะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาแข็งแกร่ง ส่วนโซนแนวรับเรามองว่า 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ อาจยังเป็นแนวรับแรกของเงินบาทในระยะสั้นนี้
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการ (Jobless Claims) ต่างออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก หรือเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวไม่ได้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง จนทำให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน (สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ให้โอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อราว 36% จาก CME FedWatch Tool) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ หลังหุ้น ARM (ผู้ผลิตและออกแบบชิป) ปรับตัวขึ้นร้อนแรง +25% ในการซื้อขายวันแรก ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.84%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.52% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว หลังจากที่ล่าสุด ECB ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ขึ้น +25bps สู่ระดับ 4.00% เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยูโรโซนโดยรวมยังคงซบเซาอยู่ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้นและอาจกลับเข้าสู่เป้าหมายของ ECB ได้
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แม้จะเคลื่อนไหวผันผวน แต่สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.28% ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัว sideway และถ้าหากจะลุ้นให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะกลับมาปรับตัวลดลงได้ชัดเจน อาจต้องรอจับตา Dot Plot ใหม่ของเฟดในการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้น “ดูดีกว่า” ประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกัน มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วนั้นได้กดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหลุดโซนแนวรับแรกที่เราประเมินไว้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105.4 จุด (กรอบ 104.6-105.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ตามมุมมองที่ส่วนใหญ่คาดว่า บรรดาธนาคารกลางหลักใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ทำให้ราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นจากโซน 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,932 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า แม้ภาพเศรษฐกิจจีนโดยรวมอาจยังไม่สดใสนัก แต่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สะท้อนผ่านมายอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม ที่อาจขยายตัว +3.0%y/y ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) อาจโตได้ราว +3.8%y/y โดยเป็นการขยายตัวที่ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลงต่อเนื่อง +3.3%y/y จากปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ ที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ เรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เช่น ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดนิวยอร์ก (NY Empire Manufacturing Index) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ซึ่งในรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่าคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาวจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร