xs
xsm
sm
md
lg

สภาพัฒน์เผย Q1/66 หนี้ครัวเรือนยังสูง จับตาสินเชื่อรถยนต์ หนี้เสียพุ่ง 30%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาพัฒน์เผยภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/66 การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น 1.7% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.06% แนวโน้มดีขึ้น ขณะที่หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 1/66 ยังเพิ่มขึ้น 3.6% ยอดหนี้เฉียด 16 ล้านล้านบาท ส่วนคุณภาพสินเชื่อปรับตัวลดลงเล็กน้อย จับตาสินเชื่อรถยนต์ หนี้เสียพุ่ง 30% แนวโน้มเพิ่มขึ้น

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/66 พบว่า สถานการณ์ด้านแรงงานปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวในสาขานอกภาคเกษตรกรรม ขณะที่ภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม ชั่วโมงการทำงาน ค่าจ้างแรงงาน และอัตราการว่างงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับการจ้างงาน ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.7% จากการขยายตัวของการจ้างงานสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ 2.5% โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคารยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องที่ 11.7% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเข้ามาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นเดียวกับสาขาก่อสร้างที่มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น 6.0% และสาขาการผลิต การค้าส่งและค้าปลีก และการขนส่งและเก็บสินค้า เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 0.3% 0.5% และ 1.1% ตามลำดับ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมการจ้างงานหดตัวลงเล็กน้อยจากปี 65 ที่ 0.2% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภัยแล้ง

ส่วนชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานภาพรวม และภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ 42.7 และ 46.7 ตามลำดับ สำหรับค่าจ้างแรงงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน (ปรับตัวดีขึ้น 3 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4/65) โดยค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมและภาคเอกชนอยู่ที่ 15,412 และ 14,032 บาท/คน/เดือน ขณะที่อัตราการว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 1.06% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.3 แสนคน

อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่

1.การขาดแคลนแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาตำแหน่งงานว่าง และจำนวนแรงงานที่ได้บรรจุงานในช่วงเดือนธ.ค.65-มิ.ย.66 จะพบว่า ผู้สมัครงาน 1 คน มีตำแหน่งงานรองรับถึง 5 ตำแหน่ง

2.การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเกษียณอายุของแรงงานทักษะต่ำ โดยไตรมาส 2/66 มีแรงงานทักษะต่ำในภาคเอกชนที่กำลังจะเกษียณอายุกว่า 1.3 ล้านคน ขณะที่แรงงานที่จะเข้ามาทดแทนมีแนวโน้มลดลง

3.ผลกระทบต่อการจ้างงาน และรายได้ของเกษตรกรจากภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยปริมาณฝนสะสมในปัจจุบันมีค่าน้อยกว่าค่าปกติในทุกภูมิภาค ซึ่งการลดลงของปริมาณน้ำจะส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร

“เรื่องการขาดแคลนแรงงานในเวลานี้ยังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะภาคบริการ แต่ในภาคการผลิตยังไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เพราะแรงงานเหล่านี้เป็นกลุ่มอาชีวะ จึงต้องดูมาตรการช่วยแก้ปัญหาในส่วนของภาคบริการ ทั้งนี้ มีสิ่งที่กังวลคือ ตำแหน่งงานว่าง กับคนที่ได้รับการจ้างงานยังไม่สอดคล้องกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องหลักสูตรการสอน หรือจำนวนผู้ที่จบการศึกษาประมาณ 40-50% จบสายบริหาร แต่ตำแหน่งงานที่ต้องการส่วนใหญ่เป็นแรงงานสายวิทยาศาสตร์ วิศวะ หรือการผลิต ซึ่งต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไรให้ผู้ที่จบการศึกษาสอดคล้องกับตำแหน่งงานในตลาดได้มากขึ้น” นายดนุชา กล่าว

หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/66 เพิ่ม 3.6%

สำหรับสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1/66 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่คุณภาพสินเชื่อภาพรวมของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ความเสี่ยงในการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

โดยในไตรมาส 1/66 หนี้สินครัวเรือน มีมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.6% ชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน หากพิจารณาการก่อหนี้ครัวเรือนรายวัตถุประสงค์ พบว่า ครัวเรือนมีการก่อหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์ และอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น

ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ภาพรวมลดลงเล็กน้อย โดยหนี้ NPLs มีมูลค่า 1.44 แสนล้านบาท หรือมีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.68% เพิ่มขึ้น 2.62% ของไตรมาสก่อน

“หนี้ครัวเรือนในซีรีส์อดีตที่ผ่านมา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการปรับนิยามของหนี้ครัวเรือนใหม่ โดยนำหนี้ที่เกิดจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 4.83 แสนล้านบาท.หนี้สหกรณ์อื่นๆ 2.5 แสนล้านบาท หนี้การเคหะแห่งชาติ 1.1 หมื่นล้านบาท และพิโกไฟแนนซ์ 1.4 พันล้านบาท รวมเป็นมูลค่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 7 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เพิ่มเข้ามาทำให้ซีรีส์ที่สภาพัฒน์เคยคำนวณไว้ มีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.0-4.5% โดยหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 90.6% ลดลงจากระดับ 91.4% ในไตรมาส 4/65” นายดนุชา กล่าว

สินเชื่อยานยนต์ แนวโน้มหนี้เสียเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

1.หนี้เสียและความเสี่ยงของการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์ ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/66 หนี้ NPL ของสินเชื่อยานยนต์ เพิ่มสูงถึง 30.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ SML ต่อสินเชื่อรวม ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

2.การติดกับดักหนี้ของลูกหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ สะท้อนจากพฤติกรรมการกู้ยืมของลูกหนี้สหกรณ์ส่วนใหญ่ เพื่อใช้สอยส่วนตัว 26.1% และเพื่อชำระหนี้สินเดิม 23.1%

3.การส่งเสริมให้คนไทยมีทัศนคติทางการเงินที่ถูกต้อง แม้ว่าคนไทยจะมีระดับความรู้ทางการเงินดีขึ้น แต่การสำรวจการติดตามระดับความรู้ และการเข้าถึงบริการทางการเงินของครัวเรือน ปี 65 พบว่า ทัศนคติทางการเงินที่ถูกต้องของคนไทยลดลงเมื่อเทียบกับปี 63

“ต้องให้ความสำคัญกับหนี้สหกรณ์มากขึ้น เนื่องจากเหตุผลของการก่อหนี้กู้มาเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว และชำระหนี้เดิม ทำให้ติดกับดักหนี้ และควรให้ความสำคัญกับหนี้ที่อยู่อาศัย หนี้บัตรเครดิต และหนี้รถยนต์ด้วย ทั้งนี้ ประชาชนมีความรู้เรื่องการเงินมีความสำคัญ แต่การใช้เงินที่ถูกต้องแย่ลง โดยพบว่าการวางแผนทางการเงินในอนาคตลดลง กลุ่มคนที่เห็นด้วยกับเก็บออมเพื่ออนาคตลดลงเช่นกัน ดังนั้น ต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณไม่ให้ลำบาก มองว่าต้องเร่งสร้างทัศนคติตั้งแต่วัยแรงงาน” นายดนุชา กล่าว

สภาพัฒน์ยัน VAT 10% เป็นเพียงแนวคิดหาเงินเพิ่ม

นายดนุชา กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวออกมาสัปดาห์ที่แล้วว่า สภาพัฒน์เสนอปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากเดิม 7% เป็น 10% โดยจะนำ 3% ที่ปรับขึ้นบางส่วนไปจัดสวัสดิการรองรับสังคมผู้สูงอายุนั้น ขอยืนยันว่า เรื่องนี้ยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น ทั้งนี้ มีการพูดคุยกันในคณะกรรมการปฏิรูปด้านสังคม แต่ในรายละเอียดยังต้องมีการพูดคุยกันอีกมาก

“ข่าวที่ออกมาเกิดจากการที่สำนักงานสภาพัฒน์ มีการจัดสัมมนาในแง่ของสังคมข้ามรุ่น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยประเด็นเรื่องนี้ถูกหยิบยกมาพูดคุยกัน ยังเป็นแค่แนวคิดหนึ่งที่น่าจะมาพิจารณาดู เพราะแนวคิดนี้อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้งบประมาณแผ่นดินในการรองรับสวัสดิการของสังคมสูงวัย สภาพัฒน์ยังไม่ได้คิดที่จะเสนอเรื่องนี้กับใคร เป็นไอเดียหนึ่งในงานสัมมนาเท่านั้น เพื่อรับฟังว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ความเห็นของคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ซึ่งอาจมีทางเลือกอื่นๆ ในอนาคต” นายดนุชา กล่าว

สภาพัฒน์รอดูรายละเอียด “นโยบายแจกเงินดิจิทัล”

สำหรับความเห็นเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทนั้น นายดนุชา กล่าวว่า ในเรื่องนี้ต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งรายละเอียดของมาตรการดังกล่าวยังมีออกมาเรื่อยๆ ต้องดูวิธีการว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร ขณะนี้จึงยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ เช่นเดียวกับเรื่องงบประมาณ ภาวะการคลัง ต้องมีการพูดคุยกับหลายหน่วยงาน และดูในรายละเอียดว่าจะสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้หรือไม่

เมื่อถามถึงความกังวลหากมีการแจกเงินดิจิทัล ควบคู่กับนโยบายพักชำระหนี้ จะมีผลต่อหนี้ครัวเรือนหรือไม่นั้น นายดนุชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเน้นเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นผลในเชิงจิตวิทยา หรือ Moral Hazard ดังนั้น การปรับโครงสร้างหนี้ต้องเป็นมาตรการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อทำให้ผู้ที่ต้องชำระหนี้หรือส่งหนี้ตลอด สามารถส่งหนี้ต่อไปได้ และสามารถช่วยในแง่กำลังการใช้จ่ายด้วย อย่างไรก็ดี ต้องมีการพูดคุยกับหลายหน่วยงาน พิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยมาตรการต่างๆ ที่ออกมาต้องดูในแง่ผลกระทบและผลในเชิงบวกด้วย

ส่วนที่นายกฯ ระบุว่า ไตรมาส 2/66 GDP ออกมาต่ำกว่าที่คาด จึงอาจต้องนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ นายดนุชา กล่าวว่า ตอนแถลงข่าวรายงาน GDP ไตรมาส 2/66 เคยกล่าวว่า GDP ไตรมาส 2/66 โตได้แค่ 1.8% ปัญหาที่เกิดขึ้นหลักๆ มาจาก 2 เรื่อง คือ

1.การส่งออกที่หดตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ถึงไตรมาส 2/66 ซึ่งเกี่ยวเนื่องภาคการผลิตในประเทศ ที่ส่วนใหญ่เป็นภาคอุตสาหกรรม การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตปรับตัวลดลง และ 2.เรื่องการอุปโภคบริโภคของรัฐบาล ที่เงินโอนเพื่อสวัสดิการหายไป เนื่องจากไม่มีสถานการณ์โควิด-19 แล้ว

ดังนั้น เรื่องส่งออกต้องมีการเร่งทำตลาดมากขึ้น แม้ว่ามูลค่าการส่งออกที่ผ่านมาหลายเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าล้านเหรียญ แต่ในเชิงการขยายตัวไม่ได้ขยายตัวขึ้นมาก เพราะเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วจะหดตัวลง ซึ่งต้องเร่งดูเรื่องนี้ต่อไป

เมื่อถามว่าวันนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานไปพูดคุย มีสภาพัฒน์ด้วยหรือไม่นั้น นายดนุชา กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่นายกฯ ใหม่ มีกระบวนการที่ต้องดำเนินการหลายเรื่อง ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในเชิงนโยบาย นายกฯ ต้องมีการพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ ต้องมีการอธิบายหลักการ รูปแบบต่างๆ ว่าจะเป็นอย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น