ข่าวใหญ่ในโลกคริปโตตอนนี้หนีไม่พ้นเรื่องที่กองทุนระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Blackrock,Fidelity,ARK Invest และอื่นๆได้ยื่นขอจัดตั้ง Bitoin ETF กับทาง ก.ล.ต.สหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณว่าสถาบันการเงินและบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกให้การยอมรับใน Bitcoin เป็นหนึ่งในสินทรัพย์การลงทุน
ถ้าหาก ก.ล.ต.สหรัฐฯ ให้การอนุมัติสามารถจัดตั้งกองทุน Bitcoin ETF ได้น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคริปโตอย่างแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกจะสามารถเข้ามาลงทุนใน Bitcoin ได้สะดวกขึ้น จากก่อนหน้านี้ติดในเรื่องของข้อกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจนตลอดจนขั้นตอนการเปิดบัญชีและลงทุน
ทั้งกองทุนระดับโลกรวมถึงนักลงทุนรายย่อยทั่วไปจะสามารถเข้าถึง Bitcoin ได้ทันที เม็ดเงินที่อยู่ในโลกการเงินดั้งเดิมที่มีมูลค่ามหาศาลจะเข้ามาทำให้มาร์เกตแคปของ Bitcoin รวมถึงตลาดคริปโตเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดจากปัจจุบันนี้มีมูลค่าเพียงแค่ 1 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น แน่นอนว่ามีโอกาสที่ราคา Bitcoin จะปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน
มีตัวอย่างของทองคำ ที่นับตั้งแต่มี ETF ที่ลงทุนในทองคำเกิดขึ้นในปี 2003 ก็ทำให้ราคาทองคำพุ่งจากระดับ 300 ดอลลาร์ ขึ้นมาแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์ และเป็นขาขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทองคำ
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเกิดกองทุน Bitcoin ETF ขึ้นจริง มีโอกาสที่โลกคริปโตก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือด้วยเช่นกัน จากการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาจากเดิมที่ส่วนใหญ่จะเป็นเงินลงทุนของรายย่อย
สิ่งแรกที่มีโอกาสเกิดขึ้นคือความเป็นวัฐจักรขาขึ้นขาลงที่ชัดเจนของ Bitcoin อาจจะหมดไป จากที่เกิดขึ้นในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา Bitcoin Halving ทำให้ราคาเป็นขาขึ้นและขาลงที่ค่อนข้างชัดเจนคือขาขึ้นสองปี ขาลงหนึ่งปีและช่วงสะสมราคาหนึ่งปี
แต่ถ้าหากนักลงทุนสถาบันที่มีนโยบายลงทุนระยะยาวเข้ามา เราอาจไม่ได้เห็นราคา Bitcoin ปรับตัวลง 70-80% จากจุดสูงสุดอีกต่อไปเพราะจะไม่เกิดแรงเทขายหนักๆพร้อมกันหรือเวลาที่ราคาลงมาก็จะมีแรงซื้อที่ใกล้เคียงกันเข้ามาเช่นกัน ขณะเดียวกันเราอาจไม่ได้เห็นการพุ่งของราคาในระดับเลขสองหลักบ่อยๆเหมือนในอดีตเพราะความผันผวนของ Bitcoin จะลดลงจากที่มีสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันเข้ามา
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ราคา Bitcoin จะมีการเคลื่อนไหวที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้นเช่นเดียวกับทองคำ จากเดิมที่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาจะมาจากปัจจัยภายในของตลาดคริปโตเอง แม้ช่วงปีหลังๆมานี้ Bitcoin จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมหภาคเช่นการประชุมของ FED มากขึ้นแต่หลังจากมี Bitcoin ETF ภาพจะชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้การมาของนักลงทุนสถาบันอาจไม่ทำให้คอนเซบท์ความเป็น Decentralized ของ Bitcoin เปลี่ยนแปลงไปเพราะผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Node ได้กระจายกันไปอยู่ทั่วโลกแล้ว แต่มีโอกาสสูงที่ราคาอาจจะถูกควบคุมโดยนักลงทุนจาก Wall Street ได้เช่นกัน จึงเรียกได้ว่า Bitcoin และตลาดคริปโตมีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงถ้าหากเกิด Bitcoin ETF ขึ้นจริง ซึ่งมีทั้งเรื่องที่ดีและน่ากังวล เรามาจับตาดูกันในอนาคตว่าจะเป็นจริงตามที่ผมได้คาดการณ์ไว้หรือไม่
บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)
สงวนลิขสิทธ์บทความเฉพาะสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ MGR online , iBit และ ที่ได้รับอนุญาติจากผู้เขียนซึ่งเป็นเจ้าของบทความเท่านั้น