นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (17 ส.ค.) ที่ระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.38 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.60 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.30-35.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุดยังคงสะท้อนว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าแม้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้างจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว แต่ทว่า เรามองว่าสถานการณ์การเมืองไทยที่เริ่มมีความวุ่นวายน้อยลง และแนวโน้มการโหวตเลือกนายกฯ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่มีความชัดเจน อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเราเริ่มเห็นแรงขายหุ้นไทยที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงขายบอนด์อาจยังพอมีอยู่บ้างตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ทว่า เรายังคงมองว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่อาจรอจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวขึ้นเพื่อทยอยเข้าซื้อ ทำให้แรงขายบอนด์ไทยอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก
เรายังคงประเมินแนวต้านเงินบาทในโซน 35.50-35.75 บาทต่อดอลลาร์ หลังการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตเลือกนายกฯ มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาด อย่างบรรดาผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านดังกล่าว ทั้งนี้ เรามองว่าเงินบาทจะยังไม่กลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าการโหวตเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลผสมจะเสร็จสิ้น อย่างไรก็ดี เราประเมินแนวรับเงินบาทในระยะนี้ โซนแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับหลักที่สำคัญถัดไป
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla -3.2% Meta -2.5%) ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุดสะท้อนว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและยังคงต้องการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -1.15% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% ตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน เช่น หุ้นธนาคาร HSBC -1.8% Rio Tinto -0.6% LVMH -0.2% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่ม Healthcare เช่น Novo Nordisk +1.7%
ในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลของผู้เล่นในตลาดว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเป็นมากกว่า 40% จากข้อมูล CME FedWatch Tool) หลังรับรู้รายงานการประชุมเฟดล่าสุด ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.27% (เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 4.18-4.28%) ทั้งนี้ เรามองว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเรา และเรากลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักลงทุนที่รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะย่อตัว
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานการประชุมเฟด ที่ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของเฟดมากขึ้น นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางตลาดการเงินที่ผันผวนและปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.5 จุด (กรอบ 102.9-103.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานดัชนี Leading Indicator ของสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่าควรจับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด หลังรัฐสภาเตรียมจัดประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้