นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (10 ส.ค.) ที่ระดับ 35.10 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.94 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.20 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และมองกรอบเงินบาทที่ระดับ 34.85-35.40 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 34.90-35.12 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึงการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off)
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อได้บ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่บรรยากาศตลาดการเงินโดยรวมยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อหรือทรงตัวที่ระดับเดิมต่อได้ ขณะเดียวกัน การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงและหากผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะดังกล่าว โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เราประเมินว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผู้เล่นในตลาด เช่น ผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเงินบาทในระยะกลาง-ระยะยาว อาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการทยอยเพิ่มสถานะ Long THB
นอกจากนี้ เรามองว่ายังคงต้องจับตาสถานการณ์การเมืองต่อ เพื่อประเมินแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลผสมว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร โดยตลาดการเงินไทยอาจกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ หากการจัดตั้งรัฐบาลผสมมีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ ในวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังอยู่ในภาวะ wait and see ทำให้เงินบาทอาจติดอยู่ในโซนแนวต้านแถว 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ ทว่า ควรระวังในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ซึ่งเราประเมินว่า ตลาดการเงินอาจผันผวนสูงได้ โดยหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ (ต้องเห็นโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อสูงกว่า 40%) ในกรณีดังกล่าว เราคาดว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้ (คาดว่าราคาทองคำอาจปรับตัวลดลง) ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อออกมาตามคาด หรือต่ำกว่าคาด เราคาดว่าเงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าหลุดโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวนด์ขึ้นแรงของราคาทองคำ
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าทยอยขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่เกี่ยวกับธีม AI (Nvidia -4.7% AMD -2.4% Alphabet -1.3%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงกว่า -1.17% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.70% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +1.7%) หลังราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.43% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Total Energies +3.4% BP +2.6%) ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนโดยรวมที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด
ในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 4.00% (กรอบ 3.98-4.04%) ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ระดับสูงกว่า 4.00% ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น และเฟดอาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหว sideway โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 102.5 จุด ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะแกว่งตัว sideway ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แต่จังหวะการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลง ใกล้ระดับ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ (ตลาดจะรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI จะอยู่ที่ระดับ 3.3% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้น +0.2%m/m) ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ตามแรงหนุนของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ยังคงประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อ CPI มีแนวโน้มชะลอลงและอาจทรงตัวใกล้ระดับ 3.0-3.5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวที่ระดับ 4.8% และมีแนวโน้มชะลอลงตามภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาตามคาด ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมองว่าเฟดจะยังไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ในการประชุมเดือนกันยายน (จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดยังให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ราว 30%)