นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (26 ก.ค.) ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.75 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 34.38-34.57 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ส่วนราคาทองคำสามารถรีบาวนด์ขึ้นได้เล็กน้อย
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทไม่ได้กลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน หรือได้รับอานิสงส์น้อยจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนจีน (CNY) ในช่วงวันก่อนหน้า หลังทางการจีนส่งสัญญาณพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทำให้เราคงมองว่าค่าเงินบาทอาจจะยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จนกว่าปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าจะเริ่มคลี่คลายลง
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยเรามองว่าหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องตาม Dot Plot ล่าสุด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับเพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งถัดๆ ไป ภาพดังกล่าวอาจหนุนให้เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้บ้าง (จะแข็งค่าขึ้นมาก หรือน้อยอาจขึ้นกับ ความชัดเจน/หนักแน่นของเฟด และโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดมองสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งปัจจุบัน ตลาดให้โอกาสไม่เกิน 36%) แต่ทว่า หากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือส่งสัญญาณว่า เฟดจะรอประเมินสถานการณ์ก่อนสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งถัดไป และผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อของเฟดลง ในกรณีนี้เราคาดว่าเงินดอลลาร์จะเผชิญแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) กดดันให้เงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อและอาจพอได้ลุ้นดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทดสอบระดับ 100 จุด ได้ไม่ยาก
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ท่ามกลางความหวังว่า รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะออกมาสดใสและดีกว่าคาด โดยเฉพาะผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (Nvidia +2.4% Microsoft +1.7%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.28% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นร้อนแรงมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +0.48% นำโดยการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ (Anglo American +4.8% Rio Tinto +4.2%) ที่ได้รับอานิสงส์จากการที่ทางการจีนส่งสัญญาณพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังการประชุม Politburo ได้เสร็จสิ้นลงในวันก่อน อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกจำกัดโดยท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดรวมถึงธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ที่ปรับตัวขึ้นดีกว่าคาดนั้น ได้ส่งผลให้ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.90% อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 3.88%-3.93% ในช่วงคืนก่อนหน้า) ซึ่งเราคงแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะบอนด์ยิลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นเพื่อทยอยเข้าซื้อ
ทางด้านตลาดค่าเงิน แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด แต่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยลดสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเงินดอลลาร์ลง ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 101.3 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 101.2-101.7 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าตลาดจะเปิดรับความเสี่ยงและบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น แต่การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) รีบาวนด์ขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ปรับสถานะถือครองทองคำที่ชัดเจน จนกว่าจะรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งทิศทางเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ระยะยาว
สำหรับวันนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก โดยในฝั่งไทยบรรดานักวิเคราะห์มองว่า ดุลการค้า (Trade Balance) เดือนมิถุนายนอาจขาดดุล -800 ล้านดอลลาร์ หลังยอดการส่งออก (Exports) หดตัวต่อเนื่องกว่า -6.3%y/y ตามการชะลอตัวลงของบรรดาเศรษฐกิจคู่ค้า
และนอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงไฮไลต์สำคัญอย่างการประชุม FOMC ของเฟด ที่จะรับรู้ผลการประชุมในช่วงเวลา 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หรือรอประเมินสถานการณ์ไปก่อน อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่าการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้จะเป็น “ครั้งสุดท้าย” ของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ หลังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงมากขึ้น (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE เดือนมิถุนายน ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้อาจชะลอลงสู่ระดับ 4.2%) อีกทั้งภาวะสินเชื่อ (Credit Condition) ตึงตัวมากขึ้นชัดเจน