หุ้น "พีทีจี เอ็นเนอยี" ร่วง 2 หลังไตรมาส 2 กำไรวูบเหลือ 111.23 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดนี้ปีก่อน หรือลดลง 489 ล้านบาท คิดเป็น 81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 600.67 ล้านบาท เนื่องจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Oil ที่ลดลงเป็นผลมาจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำม้นไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้น
หุ้น PTG หรือบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ร่วงทันทีปิดที่ 10.20 บาท หรือลดลง 0.20 บาท หรือ 1.92% มูลค่าซื้อขาย 60.51 ล้านบาท หลังแจ้งงบไตรมาส 2 กำไรลดลงเหลือ 111.23 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดนี้ปีก่อน หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 600.67 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.36 บาท เนื่องจากงวดนี้ PTG มี EBITDA 1,300 ล้านบาท ลดลง 28.9% เทียบปีก่อนและ 10.6% จากไตรมาสก่อน ซึ่งการลดลงเป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Oil ที่ลดลงเป็นผลมาจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำม้นไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในบางช่วงเวลาดังกล่าว
ประกอบกับมีการขยายจำนวนสาขาในธุรกิจ Oil และ Non-Oil อย่างต่อเนื่องและการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ของบริษัทฯ จึงส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลงดังกล่าว
โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 50,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากรายได้ธุรกิจ Oil จำนวน 47,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่รายได้ในส่วนในส่วนธุรกิจ Non-Oil จำนวน 3,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ PTG เปิดเผยผลงานครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 101,738 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19.3% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 17.2% เป็น 95,255 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท
“รายได้ที่เติบโตเป็นผลมาจากภาพรวมอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา ประกอบกับมีการเข้าใช้บริการของกลุ่มลูกค้าสมาชิกผู้ถือบัตร PT Max Card สูงขึ้นอย่างเป็นสาระสำคัญ จึงส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันยังคงสร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/2566 และทำให้ครึ่งปีแรกมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเติบโต 14.3% จากปีก่อน เป็น 3,008 ล้านลิตร นับเป็นสถิติครึ่งปีแรกที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์” นายพิทักษ์ กล่าว
ส่วนธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 63.1% จากปีก่อน เป็น 6,483 ล้านบาท หลักๆ มาจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่มีรายได้จำนวน 3,979 ล้านบาท เติบโต 71.2% จากปีก่อน มีปัจจัยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ยังคงสร้างสถิติสูงที่สุดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับน้ำมัน ที่จำนวน 305 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน
สำหรับธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้น 70.2% จากปีก่อน จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 บริษัทฯ มีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยอยู่ที่ 703 สาขา ประกอบกับมีการกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าสมาชิกผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus
นายพิทักษ์ ประเมินแนวโน้มในครึ่งปีหลังว่า จากครึ่งปีแรกที่มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเป็น 3,008 ล้านลิตร เติบโต 14.3% จากปีก่อน นับเป็นสถิติครึ่งปีแรกที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทฯ จึงปรับเป้าอัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางในปี 2566 ขึ้นเป็น 10-15% จากปีก่อน เป็น 6,000 ล้านลิตร เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยวางเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 มีสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 2,206 สถานีบริการ
สำหรับธุรกิจ Non-Oil วางเป้าการเติบโตของรายได้ 75-85% จากปีก่อน โดยจะเพิ่มสถานีบริการก๊าซ LPG และร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง เป็น 574 สาขา และยังคงมุ่งมั่นขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยอย่างเป็นสาระสำคัญ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 1,200 สาขา หรือเพิ่มขึ้น 135% จากสิ้นปีที่แล้ว
ปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มี Touchpoints อื่นๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil จำนวน 575 สาขา ประกอบด้วย ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 325 สาขา ร้านกาแฟคอฟฟี เวิลด์ 24 สาขา ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs 53 สาขา จุดพักรถ Max Camp 72 จุด ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง Maxnitron 55 จุด และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Elex by EGAT Max จำนวน 46 จุดชาร์จ