"ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง" กวาดรายได้รวมกว่า 1,481 ล้านบาท และกำไรสุทธิของบริษัทแตะ 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากงวดเดียวกันปีก่อน ผลจากยอดขายสินค้าคึก และกระแสตอบรับผลิตภัณฑ์ใหม่ดีเยี่ยม บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดอัตรา 0.232 บาทต่อหุ้น
นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท หรือ 35% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิของบริษัทเท่ากับ 116 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท หรือ 11% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 1,339 ล้านบาท
ในขณะที่งวด 6 เดือนของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท หรือ 41% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนโดยมีกำไรสุทธิของบริษัทดังกล่าวอยู่ที่ 221 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 425 ล้านบาท หรือ 17% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 2,483 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาจากการที่ยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ “เจเล่” ที่ทำยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา รวมถึงบริษัทฯ ทยอยออกสินค้าใหม่ออกวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีกระแสตอบรับดีเกินคาด
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2566 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.232 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้นประมาณ 223 ล้านบาท และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 กันยายน 2566
การที่ผลดำเนินการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยว ทั้งในด้านคุณภาพและการบริการ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักอย่างเจเล่ และเบนโตะ สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และในช่วงต้นปีบริษัทฯ บุกตลาดสร้างแบรนด์ “โลตัส” ให้เป็นอีกหนึ่งขาของฐานธุรกิจที่จะสร้างความแข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2566 แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะพุ่งแตะที่ระดับ 6,500 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ประเมินว่าจะเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดในประเทศมียอดขายเติบโตได้ตามเศรษฐกิจ และภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก รวมถึงจะเริ่มรับรู้รรายได้จากยอดขายสินค้าใหม่ที่เปิดตัวช่วงปลายไตรมาส 2/2566 และต้นไตรมาส 3/2566 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างการรับรู้ของตราสินค้า สร้างการกระตุ้นการบริโภครวมถึงการออกสินค้าใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย และช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง