ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป อวดกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และมีอัตรากำไรขั้นต้น 16.9% คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ขณะมียอดขาย 34,057 ล้านบาท ลดลง 12.6% เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกยังมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ในระดับสูง ส่งผลให้กำไรสุทธิงวดนี้ลดเหลือ 1,029 ล้านบาท จากงวดนี้ปีก่อนที่ทำไว้ 1,623.83 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนค่าเงินและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจาก "ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น" ลดลง
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งผลงานไตรมาส 2 มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และมีอัตรากำไรขั้นต้น 16.9% คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ราคาวัตถุดิบจะปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่มียอดขายงวดนี้ 34,057 ล้านบาท ลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับยอดขายที่แข็งแกร่งในปีก่อนหน้า เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกยังมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ในระดับสูง ประกอบกับการขนส่งสินค้าปรับตัวสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าชะลอตัวลง
โดยงวดนี้มีกำไรสุทธิ 1,029 ล้านบาท ลดลง 36.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำไว้ 1,623.83 ล้านบาท เนื่องจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจาก บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ลดลงเป็นผลจากสัดส่วนหุ้นที่ TU ถือครองลดลง
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในหลายๆ ตลาดทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2566 และถึงแม้ว่าบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายในช่วงครึ่งปีแรก ขณะด้านงบดุลของ TU ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 0.64 เท่าในไตรมาส 2 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.0 เท่า ส่งผลให้สามารถจ่ายปันผลได้ คิดเป็นอัตราจ่ายการปันผลสูงถึง 70.3% ของกำไรสุทธิ ด้วยการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 กันยายน 2566 เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม 2566
โดยปกติไตรมาส 2 ของทุกปียอดขายจะสูงขึ้นเป็นปกติเนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายในยุโรปเติบโตได้ดี มีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาส 2 สูงขึ้น 4.3% และกำไรสุทธิสูงขึ้น 0.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่คาดการณ์ว่าเป็นไตรมาสที่อ่อนตัวที่สุด รวมถึงกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 16.9% อยู่ที่ 5,748 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 17,136 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.3% นับเป็นยอดขายประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผลมาจากราคาขายที่สูงขึ้นและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป สินค้าแบรนด์ต่างๆ ภายใต้บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเรด ล็อบสเตอร์ ธุรกิจร้านอาหารทะเลระดับโลกที่ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำผลงานได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หลังจากที่แผนพลิกฟื้นธุรกิจได้ส่งสัญญาณบวก โดยมีส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 94 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 ของปี 2565 ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 281 ล้านบาท
นายธีรพงศ์ กล่าวถึงช่วงครึ่งปีหลัง TU จะเดินหน้าแผนและมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไร โดยมุ่งบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน พร้อมลดต้นทุนในการผลิต ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำผลงานได้ดีในระยะยาว
ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange 2030 ที่ตั้งเป้าหมายยาวไปถึงปี 2573 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก โดยมีการจัดสรรงบประมาณ 7,200 ล้านบาท เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อผู้คนและโลกของเราอีกด้วย