นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.88 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.75-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบ 34.84-34.94 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดแนวรับ 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ในวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการในวันหยุด 4th of July ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอปัจจัยใหม่ๆ ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ในวันศุกร์
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงได้บ้าง หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา โดยล่าสุด เงินบาทได้กลับมาอยู่ใกล้โซนแนวรับสำคัญ 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรายังคงเห็นผู้เล่นบางส่วนในตลาด เช่น ผู้นำเข้า ต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่บ้าง นอกจากนี้ หากมองในแง่ของสกุลเงินอื่นๆ จะเห็นได้ว่า เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินบาท สู่ระดับ 23.95 บาทต่อ 100 เยน (ต่ำกว่าแนวรับ 24 บาทต่อ 100 เยนที่เราเคยประเมินไว้) ทำให้อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนจากผู้เล่นในตลาด ซึ่งอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง
ทั้งนี้ หากตลาดการเงินไทยยังเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า ธปท. อาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ เรามองว่า เงินบาทอาจได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าเพิ่มเติม จากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจกลับเข้ามาซื้อทั้งหุ้นและบอนด์ไทยเพิ่มเติม โดยเราประเมินไว้เบื้องต้นว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติไหลเข้าอาจมีแนวรับแถว 34.75 บาทต่อดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันหยุด 4th of July ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดไม่มีทิศทางที่ชัดเจน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างข้อมูลการจ้างงานในช่วงปลายสัปดาห์
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.07% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยใหม่ๆ เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจยุโรป รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลางหลัก อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวนด์ขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare (AstraZeneca +2.0%) หลังจากที่ปรับตัวลงแรงในวันก่อนหน้า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 103 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.9-103.1 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ปิดทำการทำให้ธุรกรรมในตลาดทองคำเบาบาง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยใหม่ๆ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยขายทำกำไรเพิ่มเติมและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวอาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
สำหรับวันนี้ ในฝั่งไทยเรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมิถุนายนอย่างใกล้ชิด โดยเรามองว่า ผลของฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้าอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ CPI ชะลอลงหนักสู่ระดับ 0.04% (+0.4%m/m) ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวที่ระดับ 1.50% ทั้งนี้ หากราคาสินค้าและบริการชะลอลงมากกว่าคาด อาจเห็นอัตราเงินเฟ้อ CPI “ติดลบ” ได้เช่นกัน ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ดังนั้น หากอ้างอิงท่าที “Outlook Dependent” ของ ธปท. ที่ยังมีความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นตามภาพเศรษฐกิจ เรายังคงมุมมองเดิมว่า ธปท. อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ +0.25% สู่ระดับ 2.25% ได้ในการประชุมเดือนสิงหาคม