xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.84 ติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (21 มิ.ย.) ที่ระดับ 34.84 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-34.90 บาท/ดอลลาร์จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงใกล้แนวรับ

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้บ้างตามโมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าในช่วงคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เรายังคงมองว่าเงินบาทอาจไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB และขายเงินดอลลาร์สำหรับผู้ส่งออกบางส่วน

นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายเงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ (ตลาดรับรู้ในช่วง 13.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ยังคงอยู่ในระดับสูง หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOE ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะช่วยหนุนให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ทยอยแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่ทั้งนี้ เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมาก โดยเราประเมินว่าแนวรับในระยะสั้นอาจอยู่ในโซน 34.60-34.70 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด รวมถึงแรงซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงนี้

ทั้งนี้ ควรติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด หลังล่าสุด นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย แต่ในส่วนตลาดบอนด์ยังไม่เห็นการกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทยที่ชัดเจนอย่างที่เราประเมินไว้

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงเทขายทำกำไรหลังกลับมาเปิดทำการ โดยผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ซึ่งปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Conoco Phillips -2.8% Chevron -2.3%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลอุปสงค์ความต้องการใช้พลังงานอาจลดลง หากเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ยังคงปรับตัวลงราว -0.59% ท่ามกลางความกังวลว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ของทางการจีนอาจน้อยเกินไปและอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มเหมืองแร่ (Dior -1.4% Anglo American -4.0%) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare (Sanofi +3.7% Novo Nordisk +0.7%)

ทางฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ผู้เล่นต่างไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ขณะเดียวกัน มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาทยอยซื้อบอนด์ระยะยาว ในจังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นก่อนหน้า ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.73% ซึ่งเราคาดว่า บอนด์ยิลด์ระยะยาว อาจแกว่งตัวในกรอบ sideway เพื่อรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟดและธนาคารกลางหลักอื่นๆ รวมถึงรอประเมินทิศทางเศรษฐกิจผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้รอจังหวะบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip)

ในส่วนตลาดค่าเงิน ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง หากภาพเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 102.5 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จะย่อตัวลงต่อเนื่องและบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ทว่า ราคาทองคำกลับถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับ 1,940-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยไฮไลต์จะอยู่ที่การแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อสภาคองเกรส ซึ่งประธานเฟดอาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไปของเฟดได้

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม จะอยู่ในระดับสูงเพียงใด โดยหากอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤษภาคมอาจจะยังคงสูงถึง 8.5% ทำให้ BOE จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย +25bps สู่ระดับ 4.75% พร้อมกับส่งสัญญาณชัดเจนว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องยังมีความจำเป็น
กำลังโหลดความคิดเห็น