บล.พาย ระบุว่าสัปดาห์นี้ปัจจัยหลักที่นักลงทุนจะให้น้ำหนัก ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในวันที่ 14 มิ.ย. หรือทราบผลทางการช่วง 15 มิ.ย.ช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทย อิงข้อมูลจาก CME FED Watch พบว่าให้น้ำหนักส่วนมากราว 74.8% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม พร้อมคาดว่าปลายปี 2566 ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 5.25% (ระดับปัจจุบัน) หรือหมายความว่านักลงทุนคาดว่าจากนี้ FED จะคงดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงปลายปี
ดังนั้น จึงต้องติดตามผลประชุมใกล้ชิดเพราะจะมีการเปิดเผยถึงเส้นทางดอกเบี้ยช่วงถัดไป (Dot Plot) ทั้งปีนี้และปีหน้า หากส่งสัญญาณตามที่ตลาดประเมินไว้มองเป็นกลาง แต่หากผ่อนคลายมากกว่าตลาดคาดจะเป็นปัจจัยหนุน นอกจากนี้ ยังแนะติดตามถ้อยแถลงของประธาน FED หากส่งสัญญาณเชิงดำเนินนโยบายไม่เข้มงวดจะเป็นบวกกับตลาด ซึ่งเราเชื่อว่าจะมีการส่งสัญญาณแบบนั้นเนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับขึ้นมาสูงกว่าเงินเฟ้อ ขณะที่ภาคแรงงานเริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแอจากอัตราการว่างงานและผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่สูงขึ้น
ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในวันที่ 13 มิ.ย. Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 4.2%YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.9%YoY และหากต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นบวกกับตลาดหุ้น รวมถึงทิศทางใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ถัดมาดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ ในวันพุธช่วงกลางคืนตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.5%YoY -0.1%MoM หากรายงานแล้วยังต่ำกว่าที่ประเมินไว้จะเป็นบวกกับตลาด และสุดท้ายยอดค้าปลีกของสหรัฐฯที่จะรายงานในช่วงกลางคืนวันพฤหัสฯ เวลาไทย Bloomberg ประเมินทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน
สำหรับในประเทศติดตามกระแสเงินทุนต่างชาติหลังพลิกมาขายสุทธิพร้อม Short TFEX ราว 2 หมื่นสัญญา รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาล นักลงทุนอาจกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อหลังจาก กกต. มีมติเตรียมพิจารณาซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับประเด็นผ่อนคลายดอกเบี้ยมากกว่า
โดยประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,545-1,575 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้น Trading เน้น Domestic Play เช่น ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ขนส่ง (BEM) ร้านอาหาร (M) ชิ้นส่วนยานยนต์ (AH)
AOT (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 82.00 บาท) มีมุมมองที่ดีกับ AOT ในแง่ของผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะผลการดำเนินงานที่ในช่วง FY2Q23 กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1,861 ล้านบาท (+443%QoQ) หลังเที่ยวบินและผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของจีน นอกจากนี้ แนวโน้มในช่วง FY3Q23 จะเริ่มได้รับผลดีจากมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สิ้นสุดลง
KTB (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 21.40 บาท) คุณภาพสินเชื่อยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ แม้จะมีประเด็นความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อรายย่อยและ SME บางกลุ่ม อย่างไรก็ดี KTB ได้ตั้งสำรองหนี้เพิ่มเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านงบดุลขึ้น ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะสูงกว่า 100bp ในปี 66 (ปี 65: 93bp)