หุ้นไทยร่วงแรงกว่า 20 จุด โบรกฯ ระบุเป็นแรงขาย Sell on Fact หลังจบเลือกตั้งพรรคก้าวไกลทำคะแนนนำห่างเพื่อไทยเกินคาดหมายของตลาด ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คาดนักลงทุนรอดูโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะแกนนำทีม ศก. ขณะที่อาจกังวลในฐานะเป็นหน้าใหม่ อีกทั้งหวั่นนโยบาย เน้นปฏิรูปมากเกินไป ตลอดจนกังวลผลโหวตนายกฯ ของกลุ่ม ส.ว. ให้แนวรับ 1,540-1,530 จุด แนวต้านระยะยาว 1,650 จุด ด้านบลูมเบิร์กชี้ผลเลือกตั้ง หนุนกลุ่มค้าปลีก การท่องเที่ยว สินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (15 พ.ค.) ตลาดหุ้นเปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1,568.70 จุด เพิ่มขึ้น 7.35 จุด แต่หลังจากนั้นมีแรงขายเข้ามาต่อเนื่อง ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาปิดตลาดเช้าที่ระดับ 1,550.85 จุด ลดลง 10.50 จุด หรือ 0.67% และลดลงต่อในช่วงบ่าย โดยลดลงมากสุดกว่า 20 จุด ก่อนจะรีบาวนด์เล็กน้อยมาปิดที่ 1,541.38 จุด ลดลง 19.97 จุด หรือ 1.28% มูลค่าการซื้อขาย 6.83 หมื่นล้านบาท
ฟิลลิปมองหุ้นไทย Sell on Fact นักลงทุนจับตาฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงเปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมองว่าตอบรับเชิงบวกหลังจากผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว แต่การซื้อขายระหว่างวัน ดัชนีปรับตัวลดลงมา เนื่องจากคาดว่ามีแรงขายทำกำไรรับข่าว (Sell on Fact) ผลการเลือกตั้ง และหลังจากนี้นักลงทุนยังจับตาการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะมีหน้าตาพรรคไหนเข้าร่วมรัฐบาล จะดำเนินการต่อไปอย่างไร และจะเร็วแค่ไหนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตามกำหนดการคาดว่าจะเห็นในช่วงเดือน ก.ค.66
"เป็นธรรมดาของตลาดหุ้นที่ต้องการความชัดเจน หลังจากนี้อาจรอดูผลดีลฟอร์มทีมรัฐบาล" น.ส.ธีรดา กล่าว
ทั้งนี้ หากการจัดตั้งรัฐบาลผ่านพ้นได้ด้วยดี คาดว่าการมุ่งเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่ภาครัฐบาลต้องการแสดงผลงาน ซึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่าย การลงทุน เช่น ค้าปลีก ท่องเที่ยว รับเหมาวัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ มองแนวรับ 1,540 จุด และ 1,530 จุดยังแข็งแกร่ง แนวต้านระยะยาว 1,650 จุด
หยวนต้าคาด นักลงทุรอลุ้นผลทางการ กกต. ยังห่วงเสียงโหวตจาก ส.ว.
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมหุ้นไทยปรับตัวลดลงมา มองว่ามาจากนักลงทุนอยากทราบผลการประกาศจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเป็นทางการ เพราะขั้นตอนดังกล่าวจะผ่านการพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังต้องใช้เวลาพิจารณาประมาณ 60 วัน หรือตลาดจะทราบผลช่วงกลางเดือน ก.ค.66 ซึ่งหากเสียงเปลี่ยน ผลการจับขั้วการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงอีกได้ เป็นปัจจัยต้องติดตาม
ประกอบกับรัฐบาลชุดใหม่จะต้องรอคะแนนเสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันก้าวไกลมีคะแนนเสียง 308 คะแนน ซึ่งต้องรอคะแนนจาก ส.ว.ให้เกิน 376 คะแนน และประเด็นสุดท้ายนักลงทุนอาจกังวลแนวทางของพรรคก้าวไกลที่เน้นแนวทางการปฏิรูปมากกว่าการดำเนินเศรษฐกิจ ซึ่งมองว่าแนวทางที่คะแนนพรรคก้าวไกลนำอย่างโดดเด่นอาจผิดไปจากที่ตลาดคาด
นอกจากนี้ ต้องประเมินต่อคือการจับขั้วรัฐบาล เพราะ 2 สัปดาห์นี้คงยังไม่มีความชัดเจน เพราะอยู่ในช่วงเจรจากัน และรอผลอย่างเป็นทางการจาก กกต. ซึ่งหลังจากนี้ตลาดอาจติดตามแกนนำเศรษฐกิจที่จะเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้อาจมีประเด็นแนวทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะส่งผลบวกให้ตลาดหุ้นไทย หากแนวทางเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย แต่ส่งผลบวกในระยะสั้น โดยตลาดยังให้ความสำคัญกับการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศมากกว่า
แนะนำกลยุทธ์การลงทุนการบริโภคในประเทศขนาดกลาง-เล็ก ที่มีผลตอบแทนดีไม่เชื่อมโยงการเมือง เช่น SCAP SJWD SAT SUN เนื่องจากกลุ่มใหญ่อาจต้องกังวลแนวทางนโยบายแก้ไขแนวทางผูกขาดจากรัฐบาลชุดใหม่จากพรรคก้าวไกล ประเมินดัชนี 1,540 จุด แนวต้าน 1,570-1,580 จุด
บลูมเบิร์กชี้ผลเลือกตั้งหนุนกลุ่มค้าปลีก-การท่องเที่ยว
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านทั้งก้าวไกล และเพื่อไทย ในการเลือกตั้งของไทยเมื่อวันอาทิตย์ (14 พ.ค.) ที่ผ่านมา อาจส่งผลดีต่อผู้ค้าปลีก ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ขณะที่รัฐบาลบาลใหม่อาจจะหนุนความต้องการและปกป้องการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เปราะบาง
จากข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่าทั้งพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย ต่างมีคะแนนนำและชนะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากกว่า 280 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง และหากทั้ง 2 พรรคสามารถตั้งพรรคร่วมรัฐบาลได้ คาดว่าจะดำเนินการตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินสด การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงเบี้ยเลี้ยงนักโทษและผู้สูงอายุ
โดยได้สรุปกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากผลการเลือกตั้งในไทยครั้งนี้ที่ต้องติดตาม คือ การท่องเที่ยว จะเป็นกลุ่มที่น่าจับตามากที่สุด เนื่องจากพรรคการเมืองส่วนใหญ่ชูนโยบายการท่องเที่ยวในการหาเสียง โดยได้ระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะสามารถสร้างการจ้างงานและรายได้ โดยคาดว่ากลุ่มนี้จะได้รับความสนใจอย่างยิ่งโดยรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ เพื่อไทย ได้เสนอแผนเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งเดินทาง นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในสนามบินให้รับมือได้ถึง 120 ล้านคน พร้อมสนับสนุนข้อตกลงไม่ต้องใช้วีซ่าระหว่างประเทศมากขึ้น (Visa-Free Travel) ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับผลดีจากนโยบายด้านการท่องเที่ยวนี้อาจรวมถึง บมจ.ท่าอากาศยานไทย บมจ.การบินไทย บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น บมจ.สายการบินนกแอร์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ.ดุสิตธานี บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ บมจ.เอราวัณ กรุ๊ป และยังมีบริษัทที่อยู่ในกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ เชน บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่จะได้รับประโยชน์เช่นกัน
กลุ่มสินค้าที่จะเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตอาหารแช่แข็งพร้อมทาน และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจช่วยหลักดันให้เกิดการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มมากขึ้นหลังเลือกตั้ง โดยบริษัทที่น่าจับตาจากมุมมองของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร บมจ.โอสถสภา บมจ.เบทาโกร บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป บมจ.คาราบาว กรุ๊ป บมจ.ไทย ยูเนี่ยน บมจ.โออิชิ กรุ๊ป บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์
ส่วนนโยบายแจกเงินสด ลดค่าไฟฟ้า และค่าพลังงาน อาจช่วยให้คนไทยมีเงินจับจ่ายตั้งแต่ผลิตภัณฑ์แชมพูไปจนถึงอาหารแช่แข็ง และสมาร์ทโฟน โดยกลุ่มที่น่าจับตาจากนโยบายนี้คือ อุตสาหกรรมค้าปลีก อย่าง บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ป บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ บมจ.สยามแม็คโคร บมจ.คอมเซเว่น บมจ.ซีพี ออลล์