นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (10 พ.ค.) ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.69 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.90 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด แต่โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นใกล้โซน 33.70 บาทต่อดอลลาร์อีกครั้ง
ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบกว้างได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ (เวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งเราประเมินว่า หากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ไม่ได้ชะลอลงชัดเจนหรือออกมาสูงกว่าคาดอาจกดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับสมมติฐานใหม่ ว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ได้นานกว่าคาด ทำให้เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง (แต่อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 101.8-102 จุด สำหรับดัชนีเงินดอลลาร์ DXY)
ทั้งนี้ ในส่วนของเงินบาทเรามองว่าในช่วงระหว่างวันก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงรับรู้อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจจะยังคงเป็นฝั่งซื้อสุทธิบอนด์ ขณะที่ฝั่งหุ้นนักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบเข้าซื้อ จนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าไปมากจนหลุดโซนแนวรับในกรอบสัปดาห์ที่เราประเมินไว้แถว 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) นอกจากนี้ ผู้นำเข้าบางส่วนอาจรอจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นในการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ อีกทั้งในช่วงนี้ยังมีโฟลว์จ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนต่างชาติอยู่
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในฝั่งตลาดส่วนใหญ่ต่างรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันนี้ รวมถึงการเจรจาขยายเพดานนี้ (US Debt Ceiling) ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ที่ชัดเจน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการขายหุ้นบางส่วนที่รายงานคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวัง เช่น บริษัท Paypal -12.7% รวมถึงบริษัท Skyworks -5.2% ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.33% กดดันโดยรายงานผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางส่วนที่ออกมาแย่กว่าคาด นอกจากนี้ ยอดการนำเข้า (Imports) ของจีนที่หดตัว -7.9%y/y แย่กว่าคาด สร้างความกังวลต่อแนวโน้มความต้องการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจากยุโรป กดดันให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวลดลง Kering -2.7% Hermes -1.1% ขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ที่ย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อมีส่วนกดดันตลาดหุ้นยุโรปเช่นกัน
ในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 101.6 จุด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังขาดปัจจัยหนุนที่จะทำให้แข็งค่าขึ้นชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์ในระยะนี้ยังคงเป็นความกังวลการเจรจาขยายเพดานหนี้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาพรวมตลาดการเงินที่เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลต่อประเด็นการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 2,044 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่าผู้เล่นบางส่วนอาจใช้จังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าวในการทยอยขายทำกำไร ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า โมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อ CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจยังไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนอย่างที่ตลาดและเฟดคาดหวัง (CPI +0.4%m/m Core CPI +0.3%m/m) ทำให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อาจยังคงอยู่ในระดับสูงราว 5.00% และ 5.50% ตามลำดับ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเพิ่มโอกาสที่เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้บ้าง แต่เรามองว่า เฟดอาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงต่อ (Higher for Longer) เนื่อจากแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มได้รับผลกระทบและชะลอลงจากภาวะการปล่อยสินเชื่อที่ตึงตัวมากขึ้น
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการเจรจาขยายเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับผู้นำฝ่ายพรรครีพับลิกัน และสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วน เพื่อประเมินความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจผิดนัดชำระหนี้ หากการเจรจายังไม่ได้ข้อสรุปในการขยายเพดานหนี้