นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19 เม.ย.) ที่ระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.15-34.35 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมาเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนตามทิศทางเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมทองคำ ทำให้โดยรวมการเคลื่อนไหวของเงินบาทมีลักษณะผันผวนในกรอบ Sideways ทว่าในวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากความสนใจของผู้เล่นในตลาดจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของฝั่งยุโรปในช่วงบ่าย
โดยเราประเมินว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของทั้งอังกฤษและยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะชะลอลงมาบ้าง อาจจะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าทั้ง BOE และ ECB อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องอีกราว 1-2 ครั้ง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้บ้าง และอาจช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน (ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์) ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เนื่องจากในช่วงนี้ยังมีโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังเป็นฝั่งขายสุทธิอยู่ ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทนั้นอาจติดอยู่แถวโซนแนวรับ 34.15-34.20 บาทต่อดอลลาร์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนไปตามรายงานผลประกอบการและคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น รายงานผลประกอบการของ Goldman Sachs -1.7% ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึง Johnson & Johnson -2.8% ที่แม้จะรายงานผลกำไรดีกว่าคาด แต่ทางบริษัทแสดงความกังวลต่อแนวโน้มต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นมีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปิดตลาดเพียง +0.09% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอจับตารายงานผลประกอบการและรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.38% หนุนโดยการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes +1.8% Dior +0.7%) ที่ได้รับอานิสงส์จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน เพื่อปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างตามรายงานข้อมูลตลาดบ้านที่ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่จะย่อตัวลงในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ) แต่โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 101.7 จุด ซึ่งเรามองว่า เงินดอลลาร์มีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน (เปิดรับความเสี่ยง หรือปิดรับความเสี่ยง) โดยจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ความผันผวนของเงินดอลลาร์ส่งผลกระทบให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) เคลื่อนไหวผันผวนเช่นกัน โดยมีจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ก่อนที่จะได้แรงซื้อในจังหวะย่อตัวและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นสู่ระดับ 2,018 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของฝั่งยุโรปผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ และ ยูโรโซน โดยแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหารจะชะลอตัวลงต่อเนื่องแตะระดับ 5.7% (ยูโรโซน) และ 6.0% (อังกฤษ) แต่ระดับดังกล่าวยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารอังกฤษ (BOE) เป็นอย่างมาก ทำให้เราคงมองว่า ทั้ง ECB และ BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ต่ออีกราว 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งนอกเหนือจากรายงานอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทั้ง 2 ธนาคารกลางหลักต่อไป
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้