นักลงทุนกำลังจับตาว่า บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เกิดปัญหาภายในอะไร และทำไมยังไม่ส่งงบการเงินประจำปี 2565 เสียที
หุ้น STRAK ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ส่งงบการเงินประจำปี 2565 ตามเงื่อนเวลาที่กำหนด โดยบริษัทชี้แจงว่า จะส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 มีนาคม
แต่ขอเลื่อนส่งงบออกไปอีก โดยอ้างว่าข้อมูลบางส่วนอยู่ระหว่างดำเนินการและอยู่ในการตรวจสอบของผู้สอบบัญชี และยืนยันว่าจะส่งงบภายในวันที่ 21 เมษายนนี้ หรือส่งงบหลังสงกรานต์
STARK เปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ SMM โดยปลายปี 2561 กลุ่มนายวนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ในราคาหุ้นละ 60 สตางค์ และเข้ามาเป็นถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนประมาณ 94% ของทุนจดทะเบียน
แต่ทยอยขายหุ้นออกเพื่อแก้ปัญหาสัดส่วนผู้ถือรายย่อยหรือฟรีโฟลท จนล่าสุดปรากฏชื่อนายวนรัชต์ ถือหุ้นในสัดส่วนเพียง 26.85% ของทุนจดทะเบียน
หุ้นที่ทยอยขายออกสามารถกอบโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะต้นทุนหุ้นที่ซื้อมาราคาเพียง 60 สตางค์
ผลประกอบการ STARK มีกำไรอย่างต่อเนื่อง นับจากกลุ่มนายวนรัชต์ เข้ามาบริหาร และปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเป็นบริษัทโฮลดิ้ง มีบริษัทลูกประกอบธุรกิจรายใหญ่ในการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล
ปี 2563 STRAK มีผลกำไรสุทธิ 1,608.66 ล้านบาท ปี 2564 กำไรสุทธิ 2,783.11 ล้านบาท งวด 9 เดือนแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,215.47 ล้านบาท
ราคาหุ้น STARK ปรับตัวขึ้นตามผลประกอบการ โดยรอบ 12 เดือนเคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 5.10 บาท ก่อนจะรูดลง โดยเฉพาะช่วงต้นปีนี้ ซึ่งมีแรงเทขายไหลเข้ามาต่อเนื่อง เหมือนมีคนวงในรู้ข้อมูลปัญหาภายในของบริษัท จึงทยอยขายหุ้น ก่อนที่บริษัทฯ จะไม่ส่งงบการเงินตามกรอบเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
หุ้น STARK ถูกสร้างภาพเป็นหุ้นทรงดี ผลกำไรเติบโต นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นจำนวนมาก นักลงทุนรายย่อยตามแห่เข้ามาเก็งกำไร และถือหุ้นอยู่จำนวน 9,613 ราย โดยมีค่าพี/อี เรโช ประมาณ 10 เท่า
เพียงแต่บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินปันผลคืนกลับผู้ถือหุ้น จึงเป็นบริษัทที่มุ่งสูบเงินเข้า แต่ไม่ยอมคายออก โดยล่าสุด เพิ่มทุนออกหุ้นใหม่จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ขายในราคาหุ้นละ 3.72 บาท ให้นักลงทุนสถาบันรวม 11 ราย
เช่น เครดิตสวิส แบงก์กสิกรไทย บริษัท เอส ซี บี แอสเซท แมเนจเมนท์ จำกัด บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมอีกหลายแห่ง
การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อระดมเงินซื้อหุ้น LEONI AG และ LEONI Bordnetz-Systeme GmbH และหุ้น LEONI Kabel GmbH ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศเยอรมนี และ LEONIsche Holding Inc ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของรัฐเดลาแวร์ ในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียน มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 560 ล้านยูโร หรือประมาณไม่เกิน 20,588.90 ล้านบาท
กลุ่ม LEPNI AG ดำเนินธุรกิจประเภทโซลูชันสายเคเบิลสำหรับยานยนต์ แต่เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 STARK ได้ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อขายหุ้น โดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบหลายด้าน
การยกเลิกสัญญาซื้อขายหุ้น LEPNI AG ส่งผลให้หุ้น STARK ถูกถล่มขาย และเกิดคำถามว่า เงินเพิ่มทุนจำนวนกว่า 5 พันล้านบาทที่ขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจงจำนวน 11 ราย จะต้องคืนผู้ซื้อหรือไม่
เพราะนักลงทุนที่ซื้อหวังว่าเงินจะถูกนำไปลงทุนใน LEPNI AG ถ้านำไปใช้อย่างอื่นจะผิดวัตถุประสงค์ แต่ฝ่ายบริหาร STARK ยืนยันจะเก็บเงินเพิ่มทุนไว้ลงทุนในโครงการอื่น
นับตั้งแต่ไม่ยอมส่งงบการเงินปี 2565 ตามกำหนด STARK เกิดอลม่านภายใน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทลาออกกะทันหัน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน
STARK มีฐานะการเงินที่ดี มีเงินสดมากมาย มีผลกำไรต่อเนื่อง และเป็นบริษัทที่น่าจะมีมาตรฐานการดำเนินงานที่ดี แต่ทำไมจึงไม่สามารถจัดทำงบการเงินให้เรียบร้อย
ทำไมจึงไม่ส่งงบการเงินปี 2565 ตามกำหนด หรือบริษัทซ่อนปัญหาไส้ในอะไรที่ไม่ดีไว้
แต่สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยตั้งปมสงสัยมากที่สุดคือ ทำไมราคาหุ้น STARK จึงดิ่งลงเหว ทั้งที่งวด 9 เดือนแรกปี 2565 ผลกำไรเติบโต
วันที่ 21 เมษายนนี้ STRAK ยืนยันว่า จะส่งงบการเงินปี 2565 ต้องจับตาดูว่าจะขอเลื่อนอีกหรือไม่
และงบปี 2565 จะมีความเลวร้ายจนเป็นต้นเหตุของการเทขายหุ้นทิ้งล่วงหน้าของอินไซเดอร์หรือไม่
STARK แสบสุดจริงๆ เพราะไม่เพียงเขมือบนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แม้แต่นักลงทุนสถาบัน กองทุนทั้งในและต่างประเทศยังหลงตกเป็นเหยื่อ เจ๊งตามๆ กัน