Silvergate Capital ธนาคารคริปโตรายใหญ่ ประกาศยุติการให้บริการ ซึ่งเกิดจากแรงกดดันจากผลกระทบตลาดหมี cryptocurrency ในช่วงที่ผ่านมาโดยทำให้เกิดการล้มละลายของกิจการที่เกี่ยวข้องหลายราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรวมถึง FTX ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Silvergate อย่างมีนัยยะสำคัญ
จากการรายงานของ Forbes ระบุถึงการประกาศยุติการให้บริการของเครือข่าย Silvergate Exchange เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากเกิดวิกฤติคริปโตและมีการถอนสินทรัพย์ออกของลูกค้ารายใหญ่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่าการดำเนินงานของ Silvergate Bank จะสามารถกลับมาให้บริการได้อีกหรือไม่
ขณะที่ทาง cointelegraph ระบุว่าในการประกาศเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ของบริษัท Silvergate Capital Corporation กล่าวว่าการตัดสินใจปิดการดำเนินงานนั้น “ขึ้นอยู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมและกฎระเบียบล่าสุด” ตามที่บริษัท ดดยแผนการชำระบัญชีของ Silvergate Bank รวมถึง "การชำระคืนเต็มจำนวนของเงินฝากทั้งหมด"
นอกจากนี้ บริษัท crypto หลายแห่งรวมถึง Coinbase, Paxos, Gemini, BitStamp และ Galaxy Digital ประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่าพวกเขาจะยุติธุรกรรมกับธนาคารหลังจากการสอบสวนข้อกล่าวหาว่า Silvergate มีส่วนเกี่ยวข้องในการล่มสลายของ FTX โดยธนาคารกล่าวว่าจะปิดเครือข่ายการแลกเปลี่ยนในวันที่ 3 มีนาคมโดยอ้างว่าการยกเลิกเป็น "การตัดสินใจที่อิงตามความเสี่ยง"
ทั้งนี้ Silvergate เป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านการธนาคารรายใหญ่ของบริษัทคริปโตหลายแห่ง แต่มีความกังวลเกี่ยวกับการล้มละลาย หลังจากประกาศว่าจะทำให้การยื่นรายงานประจำปี 10-K ล่าช้าไปสองสัปดาห์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเอกสารดังกล่าวจะสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยจะแสดงภาพรวมของสถานการณ์ทางการเงินของบริษัท ซึ่งการประกาศเลื่อนออกไปเท่ากับเป็นการตอกย้ำข่าวการมีปัญหาด้านการเงินและการบริหารกิจการ
อย่างไรก็ตามในอนาคตหากไม่มี Silvergate ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจนว่าผลกระทบอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นกับบริษัท crypto อื่น ๆ ที่มีเงินทุนเชื่อมโยงกับธนาคาร หรือถูกเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ขณะที่ธนาคารรายงานว่าปริมาณการโอนเงินของเงินฝากผู้บริโภคลดลงประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564
ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัท Silvergate ปิดตลาดโดยราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 4.90 ดอลลาร์ต่อหุ้น ก่อนประกาศในวันพุธ จากนั้นตกลงไปที่ 3.13 ดอลลาร์ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่านักลงทุนคิดว่าจะมีมูลค่าหุ้นเหลืออยู่หลังจากปิดกิจการ โดยราคาหุ้นเริ่มต้นปีอยู่ที่ $17.40 และทำสถิติซื้อขายสูงถึงกว่า $200 ในปี 2564
“แผนการเลิกใช้และการชำระบัญชีของธนาคารรวมถึงการชำระคืนเต็มจำนวนของเงินฝากทั้งหมด โดยประกาศดังกล่าว บริษัทกำลังพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขข้อเรียกร้อง และรักษามูลค่าคงเหลือของทรัพย์สิน รวมถึงเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์และทรัพย์สินทางภาษี”
ทั้งนี้แรงกดดันบางส่วนต่อ Silvergate มาจากแถลงการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์โดยหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐที่เตือนธนาคารให้ระวังความเสี่ยงในการทำธุรกิจกับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
“แหล่งเงินทุนบางส่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ crypto อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่สูงขึ้นแก่องค์กรธนาคาร เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาขนาดและระยะเวลาของเงินฝากเข้าและออกได้” Silvergate แถลงการณ์
อย่างไรก็ดีจากข้อมูลเชิงลึกระบุว่าสถานการณ์ของ Silvergate นั้นยังเชื่อมโยงกับความล้มเหลวของ FTX หลังจากการล่มสลายของการแลกเปลี่ยน crypto ในเดือนพฤศจิกายน ธนาคารก็ประสบปัญหาด้านการดำเนินงาน โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติตั้งคำถามว่าไม่สามารถตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยระหว่างการแลกเปลี่ยนกับบริษัท Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ FTX
ขณะที่ ผู้บริหาร FTX ในปัจจุบันประเมินว่าเงินของลูกค้าหายไป 8.9 พันล้านดอลลาร์ โดยสาเหตุหลักมาจากเงินให้กู้ยืมแก่ Alameda ซึ่ง Silvergate ถือครองเงินฝากจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์จาก FTX ในเวลาที่การแลกเปลี่ยนล่มสลาย
ทั้งนี้เมื่อ FTX และ Alameda ล้มละลายลงลูกค้าของ Silvergate ได้ถอนเงินฝากจำนวน 8.1 พันล้านดอลลาร์ออกไป และเพื่อช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าเหล่านั้น ธนาคารจึงออกเงินกู้ 4.3 พันล้านดอลลาร์จากระบบ Home Bank Loan ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลกลางที่ออกแบบมาเพื่อจัดหาเงินทุนต้นทุนต่ำให้กับธนาคารสำหรับการจำนองด้วยการปล่อยกู้ชุมชน และสภาพคล่องระยะสั้น ซึ่งการใช้ระบบ Home Bank Loan เป็นผู้ให้กู้ที่ใช้งานได้ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงใน Capitol Hill นอกจากนี้ทางฝ่ายนิติบัญญัติได้เกิดความกังวลว่าหาก Silvergate ล้มละลายลง จะทำให้ บริษัท ประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง อาจต้องตกที่นั่งลำบาก