xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ ปี 65 ผลงานฟื้น DELTA –SVI กำไรพุ่งรับดีมานด์อื้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้น 4 บิ๊กกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 65 DELTA กำไรทะยานจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบศูนย์ข้อมูลและ การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ อีกทั้งผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน SVI รายได้พุ่ง 2.58 หมื่น ล. เหตุสงครามยืดเยื้อและนโยบาย Zero Covid ของจีน หนุนส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เต็มที่ ส่วน KCE กำไรหดเหตุออร์เดอร์ครึ่งหลังปี65 ชะลอ รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งสงครามรัสเซียกับยูเครน รวมถึงการขาดแคลน chip ของลูกค้า ส่งผลให้คำสั่งซื้อชะลอ และ HANA กำไรตกเพราะขาดทุนค่าเงิน อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง ขณะโบรกเกอร์ให้เหตุผลแตกต่างทิศทางแต่ละแห่ง

นักวิเคราะห์ฯหลายสำนักประเมินไว้เมื่อปลายปีที่ผ่านมาว่าหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลประกอบการสดใสไปอีกยาว อานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง อีกทั้งภาวะของการขาดแคลนชิป เริ่มกลับสู่ปกติได้ รวมถึงดีมานด์ของชิ้นส่วนฯที่มีมากขึ้นตามการฟื้นตัว ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแทบทุกประเทศทั่วโลกที่ค่อย ๆกลับสู่ปกติ หลังมีวัคซีนโควิด

และล่าสุด บริษัทจดทะเบียนผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทยอยแจ้งผลการดำเนินงานออกมาบ้างแล้ว และ 4 บริษัทที่จะกล่าวถึงคือ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA , บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI  , บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด(มหาชน) หรือ HANA มีผลประกอบการและให้เหตุผลที่แตกต่าง

DELTA กำไรทะลุ 1.5 หมื่นล้าน

นายจาง ช่าย ซิง กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งผลงานงวดสิ้นปี65 ว่ามีกำไรสุทธิ 15,344.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,699 ล้านบาท ซึ่งงวดนี้ DELTA มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 118,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.6 และร้อยละ 87.6 จากปี 2564 และปี 2563 ตามลำดับ เป็นผลมาจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (CloudStorage) และระบบศูนย์ข้อมูล (Data Center) รวมถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ( Electric Vehicle Solutions ) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิความร้อนในยานยนต์ทั่วไป (Automative Thermal Solution )

สำหรับในปี 2565 ยอดขายในตลาดเอเชียมีสัดส่วนลดลงจากปีก่อน หน้า ขณะยอดขายในอเมริกาเหนือและในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นจาก ส่วนรายได้อื่นมูลค่า 331 ล้านบาท มาจากรายได้เงินชดเชยค่าประกันความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมโดยไตรมาส 1 ปี2565 บริษัทได้รับจดหมายจากบริษัท ประกันภัยเพื่อยืนยันจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่จะจ่ายสำหรับทรัพย์สินที่เสียหาย 9.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 331 บาท ล้านบาท สำหรับความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นในไตรมาส 3 ปี2564 รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนและบันทึกเป็นรายได้เงินชดเชยค่าประกันความเสียหายจากเหตุการณ์ท่วมในไตรมาส 2 ปี 2565

ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 450 ล้านบาท ลดลง 568 ล้านบาทจากปี 2564 เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักต่างๆ หลังจากที่ FED ปรับขึ้้นอัตราดอกเบี้ย 7 ให้ต้นทุนในการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น

นอกจากนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 12.2 เทียบกับร้อยละ7.0 และร้อยละ 10.0 ในปี2564 และ 2563 ตามลำดับ เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากรวมถึงการอ่อนตัวของราคาวัตถุดิบดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ปี2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 12.9 หรือ15,345 ล้านบาท เทียบกับร้อยละ7.9 และร้อยละ11.2 ในปี2564 และปี2563 ตามลำดับ ทำให้กำไรต่อหุ้นในปี2565 เท่ากับ 12.30 บาท เทียบกับ 5.37 บาทในปี2564 และ 5.69 บาทในปี 2563

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) คาดกำไรไตรมาสแรกปีนี้จะเพิ่มขึ้น จากปีก่อน แต่จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน แม้โมเมนตัมยอดขายของ DELTA จะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ แต่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะถูกกดันจาก ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และการบริหารจัดการวัตถุดิบ ขณะกำไรมี upside จำกัด เพราะผู้บริหารของ DELTA ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2566F ไว้ที่ 10-20% โดยจะมาจากยอดขายของกลุ่มยานยนต์ และ data center ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ขอเลื่อนคำสั่งซื้อจากลูกค้า และคาดว่าคำสั่งซื้อจะแข็งแกร่งในระยะต่อไป โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2565

ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2566F เอาไว้ที่ 23-24% และตั้งเป้าจะจัดหาวัตถุดิบ 60% จากแหล่งภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานของ DELTA ดำเนินไปอย่างราบรื่น และคาดว่าจะคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้โดยจะรักษาสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายเอาไว้ใกล้กับปี 2565 (11.6%) ทั้งนี้ เนื่องจากเป้าหมายส่วนใหญ่ของบริษัทใกล้เคียงกับสมมติฐานของเรา ดังนั้น จึงมองว่าประมาณการกำไรของปีนี้มี upside จำกัด ดังนั้น จึงยังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 เอาไว้ที่ 590.0 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 45.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต +0.5 S.D.) เนื่องจากประมาณการกำไรปี 2566 ของ บล.เคจีไอฯ มี upside จำกัด และราคาหุ้นค่อนข้างแพงแล้ว ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำ “ขาย”

KCE กำไรหดเหตุออร์เดอร์ครึ่งหลังปี 65 ชะลอ

นางวรลักษณ์ องค์โฆษิต รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE แจ้งงบงวดสิ้นปี 65 ว่ามีกำไรสุทธิ 2,317.23 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 2,426.28 ล้านบาท ขณะมีรายได้จากการขาย 18,456.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 14,937.80 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.55 เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งสงครามรัสเซียกับยูเครนและการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจและการเมืองในต่างประเทศโดยเฉพาะแถบประเทศกลุ่มยุโรป ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตในวงกว้าง รวมถึงสถานการณ์การขาดแคลน chip สำหรับการผลิตสินค้าของลูกค้า ทำให้มีการชะลอตัวของคำสั่งซื้อช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับ Multi-Layer PCB แต่ HDI PCB ยังคงมีความต้องการสินค้าและบริษัทมี Back Log Orderของสินค้ากลุ่ม Special Grade PCB (HDI) ที่มาผลิตทดแทนการลดการสั่งซื้อลงของ Multi-Layer PCB ได้บางส่วน จึงช่วยให้บริษัทได้รับผลกระทบไม่มาก ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทรับรู้รายได้ที่เป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาทองแดง ทองและน้ำมันราคาสูงขึ้นมาก ส่งผลทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่ม กระทบต่ออัตรากำ ไรขั้นต้นของปีนี้ลดลงจากร้อยละ 26.6 ในปี2564 เป็นร้อยละ 22.8 อย่างไรก็ดี ราคาวัตถุดิบหลักอย่างทองแดงเริ่มปรับลดลงแล้วช่วงไตรมาส 4 โดยคาดการณ์ว่าต้นทุนของวัตถุดิบจะลดลงในปี 2566 ภายหลังการเบิกใช้สินค้าคงเหลือที่มีต้นทุนสูงหมดไปในปี2565

พร้อมกับวางแผนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาการควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อลดอัตราส่วนสูญเสียจากการผลิต และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิ 2,317.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ12.6 ของยอดขายเทียบกับผลประกอบการปี2564 ที่มีกำ ไรสุทธิ 2,426.3 ล้านบาท หรือร้อยละ16.2 ขณะรายได้รวมจากการขายสินค้าของกลุ่มบริษัทในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นจาก 14,937.8 ล้านบาท ในปี2564 เป็น18,456.3 ล้านบาท ในปี2565 คิดเป็นร้อยละ 23.55 ขณะที่ยอดขายในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.11จาก 468.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี2564 เป็น 530.1 ล้านเหรียญสหรัฐในปี2565 เพราะการอ่อนค่าของค่าเงินบาท ส่งผลให้รายได้เงินบาทเพิ่มขึ้น 1,076.2 ล้านบาทจากปีก่อน

เนื่องจากผลจากการเจรจาต่อรองปรับราคาซึ่งมีผลตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี2564 เพื่อชดเชยบางส่วนของราคาของวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และปริมาณการขายสินค้า PCB ปี2565 สูงขึ้นจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย ขณะ Special Grade PCB (HDI) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 77.74 ขณะที่ Double side PCB มีปริมาณการขายลดลงร้อยละ 26.18 ส่งผลให้รายได้มีมูลค่าสูงขึ้น

โดยต้นทุนขายและอัตรากำไรขั้นต้น ทั้งโสหุ้ยการผลิต และค่าเสื่อมราคา ในส่วนของวัตถุดิบเนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักอย่างทองแดงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา และการผลิตช่วงไตรมาส 4 ยังใช้ใช้วัตถุดิบคงคลังที่มีต้นทุนราคาวัตถุดิบสูง ซึ่งบริษัทต่อรองการ ขอขึ้่นราคาจากลูกค้าแล้ว แต่ช่วยชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้่นบางส่วนเท่านั้น


บล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองลบต่อ KCE ในระยะสั้นคาดกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 จะลดลงในอัตราเร่งมาอยู่ที่ 393 ล้านบาท ลดลง 21% จากไตรมาสก่อน และ 33% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูงและค่าเงินบาทที่แข็งค่า คาดว่ารายได้ปี 2566 จะโต 5% จากปีก่อน ตามเป้าของผู้บริหาร ส่วนภาพรวมคาดกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 2.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากปีก่อนเพราะโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา น่าจะเริ่มดำเนินงานได้ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยหนุนการเติบโตของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป แนะนำ “ถือ”

HANA กำไรตกเหตุขาดทุนค่าเงิน

นายริชาร์ด เดวิด กรรมการ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด(มหาชน) หรือ HANA แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี 65 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 416.63 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 563.77 ล้านบาท หรือร้อยละ 26 เนื่องจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นในไตรมาส 3 ปีดังกล่าว

โดย HANA มีรายได้จากการขายของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบปีต่อปี คือ 7.5 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2565 เมื่อเทียบกับ 6.2 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2564 เพราะรายได้จากการขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของเงินบาทต่อเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 3 ปี 2565 อ่อนค่าลงร้อยละ 11 เท่ากับ 36.4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ 32.92 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ยอดขายในรูปสกลุ เงินบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบปีต่อปี หน่วยงานไมโครอิเล็คโทรนิคส มียอดขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มร้อยละ 5 โดยหน่วยงานที่จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 ส่วนหน่วยงานประกอบIC มียอดขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยหน่วยงาน IC ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยายอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และในจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ส่วนหน่วยงานฮานา เทคโนโลยี (HTI) ผลิตอุปกรณ์ไมโครดิสเพลย์และ RFID ในมลรัฐโอไฮโอ มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ขณะอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 3 ปี 2565 ลดลงแม้มียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทย่อยในต่างประเทศแปลงค่าตามอัตราค่าเงินบาทในแต่ละไตรมาส (ตามค่าเงินสกุลที่แต่ละบริษัทมีถิ่นฐานตั้งอยู่

บล.หยวนต้า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น HANA ราคาเป้าหมาย 68 บาทต่อหุ้น เพราะคาดกำไรปกติไตรมาส 4 ปี 65 ที่ 589 ล้านบาท หรือ ลดลง 30% จากปีก่อนแต่เพิ่มขึ้น 51% เทียบปีก่อน ชะลอตัวเมื่อเทียบไตรมาส ตามปัจจัยด้านฤดูกาลแต่เติบโตจากปีก่อน จากฐานต่ำเพราะการรับรู้ผลขาดทุน SiC สูงเป็นไตรมาสแรกในไตรมาส 4 ปี 64

ดังนั้น คาดเบื้องต้น กำไรปกติไตรมาสแรกปี 66 ลดลงเทียบไตรมาสก่อน กดดันจากยอดขายและ GPM ที่ลดลง แต่ยังเติบโตได้จากฐานต่ำ จึงคงประมาณการปี2565-66 แต่ปรับคำ แนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ใหม่ที่ 68.00 บาทต่อหุ้น อิง PER21x(+0.25SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ดังนั้น HANA เป็นหนึ่งในหุ้นที่มองว่าพื้นฐานดี และมีประเด็นการเติบโตที่น่าสนใจในระยะยาว ดังนั้น จังหวะการอ่อนตัวของราคาหุ้น มองเป็นโอกาสในการสะสม ระดับราคา บวกลบ 55.00 บาทต่อหุ้น ถือว่าไม่แพง

SVI รายได้พุ่ง 2.58 หมื่น ล. สูงสุดนับแต่ก่อตั้งบริษัท 

นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI  เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 มีรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ เติบโต 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% ส่งผลให้อัตราการทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวเพิ่มเป็น 0.82 บาทต่อหุ้น หลังจากในไตรมาส 4/2565 (ตุลาคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,209 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท เนื่องจาก ฐานลูกค้าที่มีความแข็งแกร่งและศักยภาพการผลิตที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตและระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพของโรงงาน SVI ขณะที่ฐานการผลิตในประเทศไทย กัมพูชา และสโลวะเกีย ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการดำเนินนโยบาย Zero Covid ของประเทศจีน ซึ่งทำให้เกิด supply disruption อย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลก และจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยสามารถผลิตเข้าไปตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งไปจำหน่ายตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตรา 0.26 บาทต่อหุ้น

สำหรับปี 2566 SVI ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับระบบควบคุมอุตสาหกรรม อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่ายไร้สายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ซึ่งล้วนอยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้ฐานลูกค้าเดิมของ SVI มียอดสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ประกอบกับแผนลงทุนขยายฐานการผลิตที่ประเทศสโลวะเกีย 2 เท่าตัว จาก 6,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 11,000 ตารางเมตร ซึ่งขยายแล้วเสร็จในปีที่ผ่านมา และประเทศกัมพูชาอีก 3 เท่าตัว เพิ่มเป็น 35,000 ตารางเมตร คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้ฐานการผลิตดังกล่าวสามารถรองรับกับออเดอร์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น และรองรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนเพื่อส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)หรือ บล.เคจีไอ ฯ แนะนำ "Neutral" หุ้น SVI  ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท/หุ้น เพราะกำไรจากธุรกิจหลักของ SVI ใน ไตรมาส 4 ปี 65 อยู่ที่ 576 ลานบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากปีก่อนและเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ดีกว่าประมาณการของ ของ บล.เคจีไอ ฯ 18% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าที่คาดไว้ 1.2% ทำให้กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2565 อยู่ 1.6 พันล้านบาบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าประมาณการเต็มปีของ บล.เคจีไอ ฯ 9% อีกทั้งมีการจ่าย เงินปันผลด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น