เอสวีไอ โชว์ผลงานปี 65 สุดฮอต ทำรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งหรือเติบโต 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% หนุนกำไรสุทธิต่อหุ้นปีนี้เพิ่มเป็น 0.82 บาท จาก 0.66 บาทของปีก่อน ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.26 บาทต่อหุ้น
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer : OEM) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 มีรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ เติบโต 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% ส่งผลให้อัตราการทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวเพิ่มเป็น 0.82 บาทต่อหุ้น หลังจากในไตรมาส 4/2565 (ตุลาคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,209 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
ปัจจัยความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากฐานลูกค้าที่มีความแข็งแกร่งและศักยภาพการผลิตที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตและระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพของโรงงาน SVI ขณะที่ฐานการผลิตในประเทศไทย กัมพูชา และสโลวะเกีย ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการดำเนินนโยบาย Zero Covid ของประเทศจีนซึ่งทำให้เกิด supply disruption อย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยใช้ความสามารถด้านการผลิตเข้าไปตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งไปจำหน่ายตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตรา 0.26 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 559.8 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผล หลังจากนั้นจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
กรรมการผู้จัดการ SVI กล่าวว่า แผนดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับระบบควบคุมอุตสาหกรรม อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่ายไร้สายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ซึ่งล้วนอยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้ฐานลูกค้าเดิมของ SVI มียอดสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ประกอบกับแผนลงทุนขยายฐานการผลิตที่ประเทศสโลวะเกีย 2 เท่าตัว จาก 6,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 11,000 ตารางเมตร ซึ่งขยายแล้วเสร็จในปีที่ผ่านมา และประเทศกัมพูชาอีก 3 เท่าตัว หรือจาก 10,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 35,000 ตารางเมตรที่
คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้ฐานการผลิตดังกล่าวสามารถรองรับกับออเดอร์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น และรองรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนเพื่อส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้