นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.25-34.90 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.55 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ (20 ก.พ.) ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเผชิญความผันผวน หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงชัดเจนตามคาด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าควรติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานการประชุมเฟดล่าสุด ขณะเดียวกัน ควรระวังความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจร้อนแรงขึ้น
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทนั้นยังขาดปัจจัยหนุนให้กลับมาแข็งค่า แต่ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ ทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านแถว 34.80 บาทต่อดอลลาร์ได้ โดยเฉพาะในจังหวะตลาดปิดรับความเสี่ยง พร้อมการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ อนึ่ง นักลงทุนต่างชาติ อาจชะลอการขายสินทรัพย์ไทยลงบ้าง (โดยเฉพาะหุ้นไทย) หลังเดินหน้าเทขายมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่ได้รุนแรงนัก ถ้าขาดแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าต่อได้หากอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด และ/หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใส นอกจากนี้ หากในระยะสั้นตลาดกังวลความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจหนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างเงินดอลลาร์ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำได้
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ - ในช่วงนี้ผู้เล่นในตลาดยังคงอยู่ในช่วงปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งธีมหลักอาจยังคงเป็น “Strong economic data = More Fed’s rate hikes = Bad for the markets” หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด กดดันบรรยากาศในตลาดการเงินได้ ซึ่งต้องจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม โดยภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส โดยเฉพาะในฝั่งตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline PCE) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เช่น +0.4% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อ PCE อาจไม่ได้ชะลอลงชัดเจน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในภาคการบริการที่ไม่รวมที่พักอาศัย (Core PCE Services Ex. Housing) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ประธานเฟดให้ความสำคัญว่าจะส่งสัญญาณชะลอลงบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดอาจช่วยหนุนให้บรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มดีขึ้นได้ หรือลดแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาดีกว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง (ควรจับตาว่ามีจำนวนเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งเป็น Voting Members สนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% กี่ท่าน)
▪ ฝั่งยุโรป - ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดยตลาดมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี PMI รวมของภาคการผลิตและภาคการบริการ (Composite PMI) เดือนกุมภาพันธ์ ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.6 จุด หลังความกังวลวิกฤตพลังงานคลี่คลายลง ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาแก๊สธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่อาจกดดันเศรษฐกิจยูโรโซน คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ ส่วนในฝั่งเยอรมนี บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันอาจยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ZEW Survey) เดือนกุมภาพันธ์ อาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 22 จุด ซึ่งภาพดังกล่าวจะสอดคล้องกับ มุมมองของบรรดาผู้ประกอบการในเยอรมนี โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 91.4 จุด ในเดือนกุมภาพันธ์ นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่รัสเซียอาจเปิดฉากบุกโจมตียูเครนครั้งใหญ่อีกครั้งได้ในช่วงวันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงครบรอบ 1 ปี การบุกยูเครนของรัสเซีย รวมถึงเป็นช่วงวันพิทักษ์ปิตุภูมิของรัสเซีย
▪ ฝั่งเอเชีย - ตลาดคาดว่าภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจะช่วยหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการขยายตัวดีขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการในเดือนกุมภาพันธ์ ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53 จุด อย่างไรก็ดี การทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมกราคมปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.3% ซึ่งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเพิ่มโอกาสที่ BOJ อาจปรับใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลดลงในปีนี้ได้ ทั้งนี้ ตลาดมองว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.50% สู่ระดับ 4.75% หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงราว 7% ในขณะที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) อาจตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.50% หลัง BOK มองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงตามภาพเศรษฐกิจโลกที่อาจไม่ได้สดใสนัก ส่วนอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอลงตามคาด