xs
xsm
sm
md
lg

SVR ปิดเทรดวันแรกเหนือจอง 14%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สิวารมณ์ เรียลเอสเตท เทรดวันแรกปิดที่ 2.50 บาท เหนือราคาจอง IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 2.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 13.64% มูลค่าซื้อขาย 1,519.62 ล้านบาท ผู้บริหารปลื้มซื้อขายวันแรกคึกคัก เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อก้าวสู่การเติบโตในระดับ High Growth

บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เข้าเทรดวันแรก เมื่อเปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 3.26 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาจองซื้อ IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 2.20 บาท หรือเพิ่มขึ้น 48% และเมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 2.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 13.64% มูลค่าซื้อขาย 1,519.62 ล้านบาท ระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 3.30 บาท ต่ำสุดที่ 2.46 บาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้นละ 2.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 286 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,122 ล้านบาท การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 13.93 เท่า โดยคำนวณจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง

นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR เผยว่า ราคาหุ้น SVR ที่เปิดทำการซื้อขายในวันแรกคึกคัก เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน จนส่งผลให้ราคาหุ้นสามารถยืนเหนือที่ระดับ 3.26 บาท จากราคา IPO 2.20 บาท ภายหลังจากการระดมทุนบริษัทฯ วางแผนจัดหาที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพร้อมการสู่การเติบโตในระดับ High Growth (หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง) High Return (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy เป็นรายแรก

"ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การต้อนรับหุ้น SVR อย่างอบอุ่น โดยหลังจากนี้ทีมคณะผู้บริหารและพนักงานบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของผลประกอบการให้มั่นคง และยั่นยืนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุน จำนวน 286 ล้านบาท ไปซื้อที่ดิน สำหรับรองรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในอนาคต และการนำไปชำระเงินกู้ระยะสั้น รวมถึงนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ" นายรณฤทธิ์ กล่าว

สำหรับทิศทางธุรกิจปี 2566 SVR มีแผนขยายการพัฒนาโครงการเข้ามาในพื้นที่ใกล้โซน CBD ของกรุงเทพมากขึ้น จากเดิมที่พัฒนาโครงการในโซนพื้นที่ชานเมืองเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินค้า อีกทั้งต้องการขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยทุกโครงการที่จะพัฒนาใหม่ในอนาคตจะเป็นการรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 2,996 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 1 โครงการ รวมมูลค่า 686 ล้านบาท คาดเริ่มโอนและรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2566


กำลังโหลดความคิดเห็น