xs
xsm
sm
md
lg

ตลาด mai รับหุ้น SVR เคาะเทรดวันแรก 8 ก.พ.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาด mai ต้อนรับ บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,122 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "SVR" ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566

SVR ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยดำเนินโครงการภายใต้แบรนด์ "สิวารมณ์" (SIVAROM) โดยบริษัทมีจุดเด่นในด้านการออกแบบบ้าน รูปแบบโครงการ การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

ทั้งนี้ SVR มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จอยู่ระหว่างขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่า 2,995 ล้านบาท และโครงการในอนาคต 1 โครงการ มูลค่า 686 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายและโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีหลังของปี 2566

SVR มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 510 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 380 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-2 ก.พ.66 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 286 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,122 ล้านบาท

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 13.93 เท่า โดยคำนวณจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บล.โกลเบล็ก รวมถึง บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ SVR เปิดเผยว่า การนำหุ้น SVR เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน เพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงความเชื่อมั่นของคู่ค้าและผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดแบบ High Growth

SVR มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท

ผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO คือ กลุ่มฐิติสุริยารักษ์ ถือหุ้น 26.07% กลุ่มมโนธรรมรักษา ถือหุ้น 23.17% และนายชาตรี เตชะปภา ถือหุ้น 3.92% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น


นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนจัดหาที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการใหม่ๆให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพร้อมการสู่การเติบโตในระดับ High Growth (หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง) High Return (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy เป็นรายแรก

จุดแข็ง SVR คือ 1.พัฒนาโครงการที่หมุนรอบเร็ว หรือ Quick turnover : วิเคราะห์ทำเลตั้งแต่การเลือกซื้อที่ดิน พร้อมวางแผนในการซื้อที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของ "SVR" สามารถขายได้หมดภายใน 1 ถึง 3 ปี ทำให้บริษัทฯ สามารถหมุนรอบในการทำการขายได้เร็ว

2.ก่อสร้างเร็ว ขายเร็ว ส่งมอบเร็ว : การก่อสร้างด้วยระบบ Precast (พรีคาสท์) เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้างทำให้ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีอำนาจในการต่อรองราคาวัสดุก่อสร้างจาก Suppliers (ซัปพลายเออร์) ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการทำกำไรที่ดี

3.ความ "คุ้มค่า" : บริษัทฯ สร้างบ้านแบบ Premium Economy ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่าของบ้านในระดับพรีเมียม บนพื้นฐานของราคาบ้านที่ประหยัดในระดับราคา 1-7 ล้านบาท กลยุทธ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) และตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation ได้อย่างลงตัว

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า SVR มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ในระดับราคา 1-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นกลุ่ม Real Demand สูง เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า)

และด้วยวิสัยทัศน์การบริหารธุรกิจภายใต้กลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุน การสร้างบ้านที่มีความคุ้มค่าให้ลูกค้า และความสามารถรับรู้รายได้จากการโอนได้อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลให้ SVR เติบโตสู่ระดับ High Growth ได้อย่างมั่นคง และ SVR มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงต่ำ โดยบริษัทมีนโยบายบริหารจัดการอัตราหนี้สินต่อทุนภายหลัง IPO ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2 :1 เท่า หนุนให้ภาพรวมธุรกิจมีศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น