xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มอาหารคึกรับดีมานด์ มาตรการกระตุ้น-ส่งออกโตท่องเที่ยวบูม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นกลุ่มอาหารคึก หลังเทศกาลตรุษจีนพบตัวเลข การใช้จ่ายเพิ่มสูงเมื่อเทียบ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายมากขึ้น และมาตรการช้อปดีมีคืนกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ดีมานด์อาหาร-เนื้อสัตว์เติบโต คาดยอดขายของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปี 66 ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดเมือง นักท่องเที่ยวเพิ่ม แรงกดดันเงินเฟ้อลด และส่งออกเติบโต

นับจากปีก่อนหน้า ราคาเนื้อหมูหรือสุกรแพง ส่วนหนึ่งเพราะผู้เลี้ยงแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว เพราะการระบาดของโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (AFS) หรืออหิวาต์สุกร ที่ระบาดในไทยมานานกว่า 3 ปีแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยตัดสินใจปล่อยฟาร์มร้าง ส่งผลให้หมูขาดตลาด อีกทั้งทำให้ราคาหมูรวมทั้งไก่พุ่งขึ้นช่วงต้นปี 65 อย่างไรก็ตามปี 66 กลุ่มอาหารจะเป็นหลักเพราะหลายฝ่ายเชื่อว่าการส่งออกจะยังเป็นกลไกสำคัญหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก ประเมินว่าการส่งออกของไทยปี 66 ยังมีโอกาสขยายตัวได้ 2-3% ที่มูลค่าประมาณ 3.03 - 3.04 แสนล้านดอลลาร์

ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ มองหุ้นกลุ่มอาหารคึก ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่ CPF , BTG , GFPT และ TFG รวมถึง TU ขณะที่ยังมอง SNNP เป็นหุ้นเด่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากการบริโภคฟื้นตัวเนื่องจากการเป็นผู้นำตลาดที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง รวมทั้งโอกาสเติบโตสูงจากการเปิดโรงงานในเวียดนาม และ SAPPE อีกหนึ่งตัว เนื่องจากบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และยอดขายเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งมองว่าแนวโน้มสดใสตามภาวะท่องเที่ยวคึก 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้า ฯ มองหุ้นกลุ่ม FOOD พร้อมให้คำแนะนำ "Neutral" เพราะมองว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะมีการใช้จ่ายมากที่สุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์COVID-19 ที่คลี่คลายมากขึ้น และมาตรการ ช้อปดีมีคืนของรัฐฯกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เป็นบวกโดยตรงต่อปริมาณความต้องการอาหารและเนื้อสัตว์

จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 5 ปีในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนหุ้นกลุ่มฟาร์มสัตว์บกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก 3 ปีจาก 5 ปีซึ่งสำหรับปี 2566 บล.หยวนต้า ฯ มองว่าจะเป็นอีกปีที่หุ้นในกลุ่มจะตอบรับเชิงบวกได้

ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มฟาร์มสัตว์ชะลอตัวต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องผลประกอบการผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และได้รับปัจจัยกดดันจากค่าเงินบาทเทียบ USD ที่แข็งค่า ทำให้ Valuation ของกลุ่มในปัจจุบันซื้อขายที่ PER66 ที่ระดับ -1.0 SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต อย่างไรก็ตาม บล.หยวนต้า ฯ มองว่าผลประกอบการของกลุ่มฯปี 2566 จะยังอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต จึงมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อน ความกังวลดังกล่าวและมี Downside risk จำกัดแล้ว

บล.หยวนต้า ฯ คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มอาหาร “เท่ากับตลาด” แต่มองว่าสามารถสะสมกลุ่มฟาร์มสัตว์บกได้เนื่องจากมีValuation อยู่ในโซนต่ำ หรืออาจหาจังหวะเก็งกำไรในช่วงสั้นช่วงเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากหุ้นกลุ่มฟาร์มสัตว์บกมักปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า และชอบหุ้นทุกตัวในกลุ่ม อาทิCPF (TP@31.50), BTG (TP@45.00) , GFPT (TP@17.50) และ TFG (Non-Rated) โดยชอบ GFPT มากที่สุดจากปัจจัยบวกเฉพาะตัว

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ บล.เมย์แบงก์ ฯ มีมุมมองต่อหุ้นกลุ่มอาหาร "แบบปานกลาง" สำหรับปี 2566 โดยมีประเด็นบวกจากการอุปโภคบริโภคที่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง และการส่งออกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาเนื้อสัตว์ในประเทศมีแนวโน้มลดลงจากฐานสูง เงินบาทแข็งค่าขึ้น และต้นทุนพลังงานยังค่อนข้างสูง บล.เมย์แบงก์ ฯ คาดว่ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เติบโตได้ดีกว่ากลุ่มเนื้อสัตว์ โดยเลือก SNNP เป็นหุ้นเด่น ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการบริโภคฟื้นตัวเนื่องจากการเป็นผู้นำตลาดที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง รวมทั้งโอกาสเติบโตสูงจากการเปิดโรงงานในเวียดนาม

ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มกำไรของกลุ่มเนื้อสัตว์ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและบางบริษัทกำไรลดลง เนื่องจากฐานสูงจากการที่ราคาหมูและไก่ในประเทศไทยปีนี้ คาดว่าจะอ่อนลงหลังจากสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 อย่างไรก็ดี ราคาหมูและไก่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เนื่องจากอุปทานหมูยังคงขาดแคลน และปริมาณการส่งออกไก่คาดจะเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนราคาไก่ในประเทศให้อยู่ในระดับค่อนข้างดี ในด้านต้นทุนอาหารสัตว์ คาดว่าจะลดลงจากระดับสูงในปี 2565 ตามปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี บล.เมย์แบงก์ ฯ คาดว่ายอดขายของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในปี 2566 จะฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากการเปิดเมืองซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟื้นตัว ประกอบกับมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของลูกค้าเข้าร้าน Modern trade จะช่วยสนับสนุนยอดขายสินค้า การเปิดประเทศและการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านอาหาร ด้านการส่งออกมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นหลังจากหลายประเทศมีการเปิดประเทศและปัญหาด้านขนส่งเริ่มคลี่คลายลง

ดังนั้น บล.เมย์แบงก์ ฯ ประเมินว่ากำไรของกลุ่มเนื้อสัตว์จะเติบโตเล็กน้อยหรือชะลอตัวลง เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ลดลงหลังจากสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 ส่วนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มทำกำไรเพิ่มขึ้นจากการบริโภคฟื้นตัวและการท่องเที่ยว แนะนำ ซื้อ CPF, TU, GFPT และ SNNP โดยเลือก SNNP เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่งจากจากการเป็นผู้นำตลาด ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการเพิ่มขึ้นของลูกค้าเข้าร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งยอดขายในเวียดนามคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญหลังจากเปิดโรงงานใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยจากข่าวอุตสาหกรรมอาหารเทรดเดอร์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับราคาธัญพืชที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากรัสเซียตัดสินใจระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลงการส่งออกธัญพืช ซึ่งส่งผลให้ยูเครนไม่สามารถลำเลียงขนส่งธัญพืชจากภูมิภาคทะเลดำไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้

ขณะที่มองว่ามีผลกระทบ ทั้งบวก และลบ เช่น เป็นบวกกับวัตถุดิบต้นน้ำ หากกรณีเกิดการขาดแคลน ราคาธัญพืชสูงขึ้น เช่น ปาล์มน้ำมัน ได้แก่หุ้น CPI, VPO, LST, UPOIC, UVAN เป็นต้น แต่เป็นลบกับผู้ใช้วัตถุดิบ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากราคาถั่วเหลือง, ข้าวโพด, ข้าวสาลี ต้นทุนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เช่น CPF, TU, TFG, GFPT นอกจากนี้ร้านอาหาร ก็อาจจะมีต้นทุนสูงขึ้นตามมา เช่น M, AU, ZEN, MUD, CENTEL และ MINT

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามราคาวัตถุดิบว่าจะปรับขึ้นมากไหม และความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าใด เพราะปัจจุบันก็ล่วงไปเป็นเวลา 9 เดือนแล้วที่เกิดสงคราม

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ บล.เคจีไอฯ มองหุ้นกลุ่ม Food and Beverage ให้คำแนะนำ "Neutral"  ผลจากประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม F&B เติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ปี 65 และ 9 เดือนปี 65 โดยเฉพาะหมวดอาหารเกษตร และร้านอาหาร โดยราคาเน้นเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของหมวดเกษตร-อาหาร (Food agri) เพิ่มขึ้น ขณะอุปสงค์การเปิดเมืองช่วยหนุนอัตรากำไรของหมวดร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาเนื้อสัตว์ที่ผ่านจุดสูงสุดและมีแนวโน้มชะลอตัวจะกดดันกำไรหมวด food agri และแนะนำ ซื้อ CPF จากการกระจายตัวของธุรกิจ และการฟื้นตัวของธุรกิจในต่างประเทศ และยังคงชอบ TFG จากมูลค่าหุ้นซื้อขาย PE ต่ำ

โดยยังคงมองบวกกับแนวโน้มธุรกิจร้านอาหาร (AUและ M ) เนื่องจากการเติบโตตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม บล.เคจีไอฯ ยังมองลบกับธุรกิจเครื่องดื่มเพราะการแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกดดันรายได้ และกำไรและอัตรากำไรขั้นต้นยังไม่น่าจะดีขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ บล.เคจีไอฯ เลือก SAPPE เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ เนื่องจากบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และยอดขายยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น จึงปรับลดน้้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้ลงเป็น Neutral (จากเดิมที่ Outperform) โดยหุ้นในกลุ่มที่ชอบคือ CPF , AU, M, SAPPE และ SUN



นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเมื่อสถานการณ์โควิดซาลง




กำลังโหลดความคิดเห็น