นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า แผนธุรกิจสำหรับปี 2566 จะเป็นการเติบโตแบบระมัดระวัง โดยขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพและต่อยอดการเชื่อมโยงธุรกิจของกลุ่มฯ ผ่านการขายขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้อง (cross-selling) นอกจากนั้น กลุ่มธุรกิจฯ ยังมุ่งเดินหน้าใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มการออมและการลงทุนดิจิทัลของกลุ่มอย่างเต็มศักยภาพ ทั้ง Dime (ไดม์) และ Edge (เอดจ์) ที่จะเปิดตัวในระยะต่อไป โดยปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Dime มีผู้ดาวน์โหลดแล้วกว่า 100,000 ราย และจะมีการจับมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อขยายฐานลูกค้าและพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อที่ระดับ 13% จากปีนี้ที่เติบโต 21.4% โดยเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความระมัดระวังเพื่อให้การเติบโตของพอร์ตอย่างมีคุณภาพ โดยมี Loan Spread ที่ 5% จากปีก่อนที่ 5.4% มีอัตรา ROAE ที่ 13% จากปีก่อนที่ 13.6 และมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ 3.1% จากสิ้นปีก่อนที่ 3.3%
"การโตไม่ใช่ปัญหา แต่เราต้องการโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ให้กลับมาเป็นต้นทุนอีก ซึ่งปัจจุบันประมาณ 92% ของพอร์ตสินเชื่อเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน คือสินเชื่อบ้านและเช่าซื้อ รวมถึงสินเชื่อรายใหญ่ก็เริ่มกลับมาจากตลาดบอนด์ที่ไม่เอื้อ จึงมาใช้วงเงินของแบงก์แทน ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่ออสังหาฯ ซึ่งยังมีความเปราะบางทรงตัว และเน้นการดูแลปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา โดยปัจจุบันมีอยู่ 50,000 ล้านบาท เป็นกลุ่มโรงแรมประมาณ 10,000 ล้านบาท มีแนวโน้มที่ดีขึ้นแล้ว ขณะที่การตั้งสำรองเพิ่มเติมนั้น เริ่มชะลอลงหลังจากที่สำรองระดับสูงมากแล้วในช่วง 2 ปีของโควิด"
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร สำหรับปี 2565 มีกำไรสุทธิ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่สินเชื่อรวมขยายตัวถึงร้อยละ 21.4 จากการขยายตัวในสินเชื่อทุกประเภท ด้านธุรกิจตลาดทุน ยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ที่ดี โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของตลาด สำหรับธุรกิจการจัดการกองทุนมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจการลงทุนยังคงเติบโตได้ดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Equity and Derivative Trading) ที่ทำกำไรได้ดีในสภาวะผันผวน ด้านวาณิชธนกิจมีรายได้ในระดับที่ดีจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ในขณะที่ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ปัจจุบันมีปริมาณทรัพย์สินภายใต้คำแนะนำ (Asset Under Advice, AUA) อยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท
**ยังไม่มีแผนตั้งเวอร์ชวลแบงก์**
ส่วนการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (เวอร์ชวล แบงก์) นั้น นายอภินันท์ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ยังไม่แผนการจัดตั้ง เนื่องจากยังไม่ชัดเจนถึงประโยชน์กับข้อจำกัด หรือกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งที่จะได้ไลเซนส์มา รวมถึงการร่วมกับพันธมิตรในรูปแบบ JV นั้นมีความซับซ้อน รวมถึงยังไม่แน่ใจว่าไลเซนส์ที่ได้ใหม่มาจะกลับมา Disrupt ธุรกิจเดิมหรือไม่ จึงยังไม่มีแผนในเรื่องนี้
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ว่า “ปี 2565 เป็นปีที่ธนาคารมีผลประกอบการดีเป็นประวัติการณ์ โดยสินเชื่อมีการขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 21.4 ในปี 2565 ส่งผลให้มีการเติบโตของทั้งรายได้จากดอกเบี้ย และจากค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 จึงยังคงเป็นการเติบโตแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) หรือการเลือกขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน การเดินหน้าเจาะตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ของธนาคารคือ ‘รถเรียกเงิน’ และการใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลของธนาคารมากขึ้น ไม่ว่าแอป KKP Mobile หรือแอปของบริษัทในกลุ่มอย่าง Edge เพื่อเชื่อมโยงบริการของธนาคารเข้ากับบริการด้านการลงทุนที่เป็นความชำนาญของกลุ่มธุรกิจ”
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวข้อมูลทางการเงินของผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า “กลุ่มธุรกิจมีกำไรสุทธิเท่ากับ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 10,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.2 จากปี 2564 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 758 ล้านบาท และเป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,077 ล้านบาท ในส่วนของการตั้งสำรองสำหรับปี 2565 ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 154.4 นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 19,081 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 8,457 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.0 จากปี 2564 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 16.26 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับร้อยละ 12.88”