ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน (KR-ECI) ในปัจจุบัน (เดือน ธ.ค.65) ยังคงมีระดับใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าที่ 34.7 ลดลงเล็กน้อยจากในเดือน พ.ย.65 ที่ 35.0 เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ครัวเรือนอาจมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันการครองชีพของครัวเรือนยังได้รับแรงกดดันจากค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง โดยเดือน ธ.ค.65 อัตราเงินเฟ้อไทยกลับมาเพิ่มขึ้นที่ 5.89%YoY หลังแผ่วต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน โดยราคาสินค้าในหมวดหมู่ผักและผลไม้ รวมถึงราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ในเดือน ธ.ค.65 ประเทศไทยยังคงตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 35 บาทต่อลิตรเป็นเดือน 7 ติดต่อกัน แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัว แต่ด้วยข้อจำกัดภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึงยังไม่มีแนวโน้มของการปรับราคาเพดานลงในระยะสั้น เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยถูกตรึงไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วยไปจนถึงช่วงต้นปี 2566 (งวดเดือน ม.ค.-เม.ย.66) แต่ค่าไฟฟ้าสำหรับธุรกิจถูกปรับขึ้นเป็น 5.33 บาทต่อหน่วย จึงอาจกดดันให้การส่งผ่านราคาของผู้ประกอบการไปยังผู้บริโภคมีมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ดัชนี KR-ECI 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 37.1 จาก 36.4 ในเดือน พ.ย.65 แต่ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนช่วงเกิดโควิด-19 โดยระยะข้างหน้าภาวะการครองชีพครัวเรือนยังมีแรงหนุนจากการออกชุดมาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ของภาครัฐ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี “ช้อปดีมีคืน” (สำหรับการซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.66) การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเพิ่มวงเงินใช้จ่ายให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (200 บาทสำหรับเดือน ม.ค.66) โครงการช่วยเหลือผู้กู้ยืมจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง เป็นต้น ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาภาระครองชีพประชาชนได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ มุมมองผู้บริโภคยังได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนโดยมีภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ซึ่งในปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยมากกว่า 11 ล้านคน และสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้มากกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งได้หนุนให้การจ้างงานภาคบริการภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือน ต.ค.65 จำนวนผู้มีงานทำในกลุ่มที่พักแรมและบริการด้านอาหารเพิ่มขึ้นที่ 3.09 ล้านคน (6.2%MoM) ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานในภาคการผลิตและการขายให้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับผลสำรวจเพิ่มเติมของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเกี่ยวกับสถานการณ์จ้างงานในองค์กรเดือน ธ.ค.65 พบว่า 43.1% ระบุไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จ้างงานในองค์กร โดยสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือน มี.ค.65 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบของไทยที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 30.6% ขณะที่สัดส่วนการลดเวลาการทำงานนอกเวลา (OT) ลดลงมาอยู่ที่ 11.3% อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทย จึงมีสัดส่วนการชะลอรับพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นที่ 23.9%
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้มีการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความกังวลต่อภาวะการครองชีพในปี 2566 พบว่า ครัวเรือนมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง เช่น เงินเฟ้อ ค่าไฟฟ้า (27.3%) รองลงมาเป็นความกังวลเกี่ยวกับรายได้และการจ้างงาน (21.8%) ขณะที่ครัวเรือนยังมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของการแพร่ระบาดโควิด-19 (18.3%) อีกทั้งผลสำรวจพบว่าครัวเรือนนอกพื้นที่กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนความกังวลเกี่ยวกับการแปรปรวนของสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทำกินถึง 11.1% มากกว่าครัวเรือนในกรุงเทพมหานครที่ 1.4% ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างของรูปแบบการประกอบอาชีพของครัวเรือนในแต่ละพื้นที่
ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโนมฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงหนุนสำคัญ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงหลายประการทั้งภายในและนอกประเทศที่จะเข้ามาส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการฟื้นตัวของดัชนี KR-ECI โดยเฉพาะการส่งผ่านราคาจากผู้ประกอบการไปยังผู้บริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจ อีกทั้งทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. (โดยปี 2566 คาดปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.75%) คงส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของครัวเรือนเพิ่มขึ้นสะท้อนผ่านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ในเดือน ม.ค.66 ที่เริ่มปรับขึ้นของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ และกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อของครัวเรือนโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลง โดยเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรปที่อาจมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค นอกจากนี้ แม้จีนมีการประกาศผ่อนคลายเกณฑ์สำหรับการเดินทางเข้าประเทศจีนให้ไม่ต้องกักตัวตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.66 ซึ่งแนวโน้มการเปิดประเทศที่เร็วจะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของตลาดนักท่องเที่ยวจีนของไทยในระยะข้างหน้า แต่ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของการระบาดโควิดระลอกใหม่ ขณะที่การกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดยังคงต้องใช้เวลา