ผู้จัดการรายวัน360 องศา - ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 65 ดัชนีปรับตัวเพิ่มจากสิ้นปีก่อน 11 จุด มาร์เกตแคปเติบโลเล็กน้อยแตะ 20 ล้านล้านบาท สถาบันเทขาย 2 ปีติด 2.31 แสนล้านบาท ต่างชาติกลับมาซื้อ 2.02 แสนล้านบาท โบรกฯ คาดครึ่งปีแรก 2566 ดัชนีมีลุ้นแตะ 1,700 จุด พร้อมแนะนำเข้าเก็บหุ้นปันผลรอรับผลประกอบการเติบโต ทำกำไรจากราคาหุ้น และเงินปันผล
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2565 ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด เพิ่มขึ้น 11.04 จุด หรือ 0.67% ตลอดทั้งปีดัชนีปรับตัวสูงสุด 1,713.20 จุด เมื่อวันที่ 18 ก.พ. และต่ำสุดที่ระดับ 1,533.37 จุด มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 20.44 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.38% จากปี 2564 ที่ระดับ 19.58 ล้านล้านบาท โดยมีมูลค่าขายเฉลี่ยต่อวัน 7.12 หมื่นล้านบาท ลดลง 19.47% จาก 8.84 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2564
สำหรับการซื้อขายสุทธิตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1.53 แสนล้านบาท เป็นการขายต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ขายสุทธิ 7.73 หมื่นล้านบาท รวม 2 ปี สถาบันขายสุทธิ 2.31 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิในปี 2565 รวม 2.02 แสนล้านบาท จากปี 2564 ขายสุทธิ 4.85 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิในปี 2565 ที่ระดับ 4.53 หมื่นล้านบาท จากซื้อสะสมในปี 2564 ที่ระดับ 1.12 แสนล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 3.41 พันล้านบาท จากปี 2564 ซื้อสุทธิ 1.36 หมื่นล้านบาท
โดยมียอดรวมสะสมลูกค้าที่เปิดบัญชีไม่ซ้ำ 2.33 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจาก 2.16 ล้านบัญชีในปีก่อนหน้า แต่จำนวนลูกค้าที่ซื้อขาย (Active Account) ลดลงเหลือ 549,004 บัญชี จาก 695,302 บัญชีในปี 2564 นอกจากนี้ พบว่ามูลค่าซื้อขายผ่านระบบ Internet ลดลงมาที่ 1.29 หมื่นล้านบาท จาก 1.85 หมื่นล้านบาทในปี 2564
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดการณ์ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ในเชิงบวกสอดสอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง นำโดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงโอกาสเกิดการเลือกตั้ง และคาดหวังว่าจีนจะทยอยเปิดประเทศ ทำให้ดัชนี SET Index ครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1,700 จุด
ส่วนหุ้นที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/65 เพื่อรอรับผลตอบแทนจากราคาหุ้น ได้แก่ AURA ซึ่งมีแผนนำเงินจาก IPO ไปลงทุนขยายสาขาเพื่อสนับสนุนทั้งธุรกิจขายปลีกทองรูปพรรณ และธุรกิจขายฝากทองคำรูปพรรณ เบื้องต้น คาดการณ์กำไรปกติมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 26% ต่อเนื่อง 3 ปี (2565-2567) ถัดมาคือ SNNP ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในตลาด B2B และขนมขบเคี้ยวซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ราว 3-5% ต่อปี สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศ อีกทั้งยังมีกระแสเงินสดหมุนเวียนที่เพียงพอต่อการชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด เบื้องต้น คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/65 ที่ 148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% YoY หนุนกำไรสุทธิทั้งปีที่ 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และเติบโตต่อเนื่อง 42.46% แตะ 728 ล้านบาท ในปี 2566 จึงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสม 29.30 บาท
ถัดมา KAMART ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางทั้งใน-ต่างประเทศ เนื่องจากแผนการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่างน้อย 3 แบรนด์สนับสนุนยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดการณ์กำไรงวดไตรมาส 4/65 ที่ 107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% ทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% แนะ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 9.00 บาท และ PLANB ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติ โดยคาดการณ์ค่าใช้จ่ายโฆษณา (ADEX) ทั้งปี 2566 จะเติบโต 4.2% หนุนกำไรสุทธิปี 2566 เร่งตัวแตะ 1,001 ล้านบาท จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 8.91 บาท
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) รายงานว่าปัจจุบันมีหุ้นที่อยู่ใน SET50 ที่ราคาหุ้นยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าดัชนี (Laggard) ซึ่งมีโอกาสถูกทำราคาปิดสิ้นปี หรือ Window Dressing สูง ประกอบด้วย บมจ.คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (CBG) ซึ่งราคาปรับลง 21.3% บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราคาปรับลง 20% บมจ.โอสถสภา (OSP) ราคาปรับลง 19.7% บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ราคาปรับลง 19.4% บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ราคาปรับลง 17.3% และ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ราคาปรับลง 13.7%
สำหรับ CBG แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 111.00 บาทต่อหุ้น จากแผนเชิงรุกในปี 2566 และคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่ง CBG ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าเติบโต 15-20% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงขยายฐานตลาดต่างประเทศไปยังที่ใหม่ๆ
ส่วนหุ้น GPSC แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 84.00 บาทต่อหุ้น โดยมองมีปัจจัยบวกต่อกำไรเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ หรือ COD โครงการไฟฟ้าพลังงานลมที่ไต้หวัน รวมถึงได้ประโยชน์การปรับขึ้นค่า Ft เต็มปี และการปิดซ่อมบำรุงนอกแผนที่ลดลง และต้นทุนพลังงานที่ลดลง
ขณะที่ SCGP ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 64 บาทต่อหุ้น โดยมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงจากกำไรปกติไตรมาส 4/2565 ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวจากสถานการณ์ในจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่มองว่าธุรกิจระยะยาวยังแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ มีบริการแบบครบวงจร
ด้าน SCC ให้ราคาเป้าหมายที่ 400 บาทต่อหุ้น โดยมองว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2566 ทั้ง oversupply ลดลงและกำลังการผลิตใหม่โครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ Long Son (LSP) ในเวียดนามหนุน รวมถึงแรงหนุนธุรกิจซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ที่ต้นทุนพลังงานลดลง และ SCB แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 155 บาทต่อหุ้น และหุ้น OSP ให้ราคาเป้าหมาย 31 บาทต่อหุ้น มองว่าในปีหน้าธุรกิจมีโอกาสโตจากฐานที่ต่ำในปีนี้ ภาคการบริโภคที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังการเปิดเมือง