xs
xsm
sm
md
lg

โกลเบล็กให้เป้า SET ปี 66 กรอบสูงสุด 1,845 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) เปิดเผยถึงแนวโน้มทิศทางการลงทุนปี 66 ว่า ทางฝ่ายวิจัยมองกรอบดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 66 ที่ระดับ 1,616-1,845 จุด บนสมมติฐานอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 66 เท่ากับ 108.85 เติบโต 8-9% เมื่อเทียบกับปี 65 พร้อมทั้งมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับลดระดับความรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่น ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มทยอยชะลอตัวเข้าสู่ระดับปกติ

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังมองปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในปี 66 เช่น กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 3.7% ในไตรมาส 4/65 สูงกว่าระดับ 2.7% ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐในเดือน ธ.ค.65 ดีดตัวขึ้นและสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งชี้ว่าผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น

อีกทั้งประเทศจีนมีมาตรการยกเลิกกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลตั้งแต่ 8 ม.ค.66 หลังบังคับใช้มานาน 3 ปี รวมทั้งการที่จีนผ่อนคลายมาตรการจัดการเกี่ยวกับโควิด-19 สู่ระดับ Category B จากระดับ Category A ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด ขณะที่เกาะฮ่องกงประกาศเปิดพรมแดนที่ติดกับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเต็มรูปแบบก่อนกลางเดือน ม.ค.66 จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 66 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 65 ที่มีแนวโน้มใกล้เคียง 11.5 ล้านคน เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวในประเทศ 175 ล้านคนต่อครั้ง จะทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท นับเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่ารวมในปี 62 สำหรับปัจจัยทั้งในประเทศที่ต้องจับตาต่อภาพรวมการลงทุนในปี 66 เช่น การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 6 ครั้ง ในเดือน ม.ค. มี.ค. พ.ค. ส.ค. ก.ย. และ พ.ย. นอกจากนี้ ยังแนะให้จับตาประเด็นการเมืองกรณียุบหรือไม่ยุบสภา รวมไปถึงการเลือกตั้งในประเทศ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แม้ระดับความรุนแรงจะคลี่คลาย แต่ยังคงต้องให้ความระวัง ขณะที่ปัจจัยที่ต้องจับตาต่างประเทศ เช่น การกำหนดการประชุมเฟดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 8 ครั้ง ในเดือน ม.ค. มี.ค. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ก.ย. ต.ค. และ ธ.ค. รวมถึงตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ กลุ่มประเทศยุโรป และจีน ส่วนปัจจัยลบนั้นมีการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะเริ่มต้นเกิดขึ้นประมาณต้นปี 66 ซึ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีวาระคุกรุ่นหลายคู่ ทั้งยูเครน-รัสเซีย สหรัฐฯ-จีน จีน-ไต้หวัน ที่อยู่ในระดับความเสี่ยงที่สูง ส่วนธนาคารกลางของแต่ละประเทศทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมาย โดยคาดว่าที่ประชุม กนง.มีโอกาสทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2-3 ครั้ง จากระดับ 1.25% ณ ปลายปี 65 สู่ระดับ 1.75% ถึง 2% ณ ปลายปี 66 ส่วนภาคการส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ประกอบกับปี 66 จะมีการเริ่มเก็บภาษีขายหุ้นลดสภาพคล่องของนักลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยจึงให้คำแนะนำ ลงทุนในหุ้น 5 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืนในปี 66 ประกอบด้วย BJC, CPALL, MAKRO, CRC, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, ZEN, M และ AU

กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์จากรายได้ปรับขึ้นตามค่า Ft แต่ต้นทุนเริ่มคงที่ ประกอบด้วย GPSC, BGRIM และ RATCH

กลุ่มการท่องเที่ยวที่ได้รับอานิสงส์จีนเปิดประเทศ ในวันที่ 8 ม.ค.66 ประกอบด้วย MINT, CENTEL, ERW, SPA, AU และ SHR 4

กลุ่มหุ้นยั่งยืนด้านพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย EA, TSE, SSP, SUPER และ PRIME

กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย EA, GPSC, BCP, OR และ DELTA ฝ่ายวิจัยยังได้แนะนำ "ซื้อ" 4 หุ้นเด่นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้แก่

หุ้น SPA : ทยอยขาดทุนลดลงและลุ้นพลิกมีกำไร โดยมองว่าลุ้นพลิกมีกำไรจากการที่จีนเปิดประเทศ สนับสนุนจำนวนผู้ใช้บริการที่เป็นลูกค้าชาวจีนที่นิยมใช้บริการสปามีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่การผ่อนคลายมาตรการจัดการโควิด-19 สนับสนุนสาขาที่เปิดดำเนินการในประเทศจีน หุ้น D ฐานลูกค้าต่างชาติขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมองว่าฐานลูกค้าต่างชาติขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ทิศทางผลการดำเนินงานในปี 66 รายได้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 65 เนื่องจากฐานลูกค้าชาวต่างชาติจะขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายตลาดเชิงรุกสู่กลุ่มลูกค้าชาวอาหรับซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และลูกค้ากลุ่มประเทศเดิมจากโซนออสเตรเลีย อเมริกา และยุโรปฟื้นตัว และได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากนโยบายในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น "Dental Hub" หุ้น CEYE โดยมองว่าธุรกิจโฆษณามีแววสดใสหนุนรายได้และกำไรปี 66 ให้เติบโตต่อเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจโฆษณาและแผนขยายงานออนไลน์โปรดักชันในต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่ให้บริการเพียงภาพนิ่งเป็นหลัก ซึ่งได้รับอานิสงส์ตามการฟื้นตัวของธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ในหลากหลายธุรกิจเริ่มกลับมาใช้จ่ายด้านโฆษณามากขึ้น หุ้น AU โดยมองว่ามีโอกาสที่สัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะกลับสู่ระดับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งแนวโน้มผลประกอบการปี 66 จะเติบโตดี และยังคงมีโมเมนตัมดีต่อเนื่องไปยังปี 66 ซึ่งคาดสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะกลับสู่ระดับก่อนช่วงโควิด-19 ที่ราว 30-40% นอกจากนี้ ในช่วไตรมาส 4/65-66 บริษัทยังมีแผนการขยายสาขาเชิงรุก เช่น ร้าน After You ในห้างสรรพสินค้า และในรูปแบบ Pop-up Store, Standalone และ Marketplace ร้านผลไม้ "ลูกก๊อ" (แบรนด์ใหม่) ตลอดจนการขยายแฟรนไชส์ไปยังกลุ่ม CLMV รวมทั้งหมดอีกราว 30 สาขา จากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 44 สาขา


กำลังโหลดความคิดเห็น