วายแอลจีเผยภาพรวมทองคำปี 2565 เคลื่อนไหวผันผวนหนัก เหวี่ยงกว่า 20% จากจุดสูงสุดที่ 2,069 ไปแตะจุดต่ำสุดที่ 1,614 แต่ช่วงปลายปีเริ่มกลับมาสัญญาณดี หลังเฟดเริ่มมีท่าทีขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง กองทุน SPDR เริ่มซื้อทองคำหลังจากเทขายเกือบตลอดปี มองสัญญาณที่ดีส่งผลต่อเนื่องถึงปีหน้า จาก 4 ปัจจัยหนุนสำคัญ ทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลงและมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน กองทุน SPDR มีสัญญาณขายน้อยลงสลับกลับมาซื้อทองคำ และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนแม้จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวราคาทองคำน้อยลงแล้วแต่ยังต้องจับตามอง สำหรับความเคลื่อนไหวทองคำปีหน้ามองกรอบบน ระยะกลาง และระยะยาวที่ 1,879-1,916 ราคาไทยประมาณ 30,850-31,450 บาทต่อบาททองคำ กรอบล่าง 1,766-1,616 หรือรอซื้อประมาณ 29,000-26,500 บาทต่อบาททองคำ แนะนักลงทุนแบ่งขายเมื่อมีกำไร
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาทองคำในปี 2565 ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ราคาเหวี่ยงกว่า 20% โดยต้นปีราคาทองคำเปิดที่ 1,828 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และปรับไปแตะระดับสูงสุดที่ 2,069 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากข่าวรัสเซีย-ยูเครนเข้ามาเป็นปัจจัยหนุน และเริ่มปรับตัวลดลงเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคม ราคาทองคำจึงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนทำจุดต่ำสุดที่ 1,614 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่สัญญาณทองคำกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งช่วงท้ายปีเฟดเริ่มมีท่าทีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลงทำให้ทองคำเริ่มยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ในปี 2565 ราคาทองคำในประเทศเคลื่อนไหวแตกต่างกับราคาทองคำต่างประเทศ เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้ปีนี้นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันหากใครถือทองคำในราคาไทยยังคงได้กำไรประมาณเกือบ 4%
ส่วนแนวโน้มปี 2566 แนวโน้มราคาทองคำจะเคลื่อนไหวมีโอกาสปรับขึ้นได้ค่อนข้างมาก โดยมีปัจจัยหนุนที่ต้องติดตาม 4 ปัจจัย เริ่มจาก
1.ปัจจัยด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสถดถอยหากเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี หากมองย้อนไปในอดีตหากเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจส่วนใหญ่ทองคำจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก
2.จากความกังวลเรื่องการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเปลี่ยนไปคือ ปรับขึ้นได้น้อยลงมากกว่าที่เฟดคาด และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยคาดว่าภายในไตรมาส 4/2566 จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีหน้า จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
3.การเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ ที่เดือนตุลาคม และพฤศจิกายน 2565 กองทุน SPDR ขายทองคำน้อยลง รวมถึงเริ่มกลับมาซื้อทองคำในเดือนธันวาคม 2565 จึงเป็นสัญญาณบวกที่หนุนทองคำ
4.อย่างไรก็ดี ปัจจัยความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แม้จะมีผลต่อการลงทุนน้อยลงแล้ว แต่ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
สำหรับคำแนะนำการลงทุนทองคำในปี 2565 คาดระยะกลาง และระยะยาว 1,879-1,916 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยราคาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 30,850-31,450 บาทต่อบาททองคำ หากทองคำไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อเทียบกับปี 2565 จะทำให้ทิศทางทองคำอยู่ในเกณฑ์ที่สดใส อย่างไรก็ดี ทองคำหากมีแรงซื้อมากเกินไปจะมีการขายทำกำไรบางส่วน จึงแนะนำนักลงทุนแบ่งขายบางส่วน อย่างไรก็ดี หากหลุด 1,766-1,729 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 29,000-28,350 บาทต่อบาททองคำ สามารถรอซื้อที่ 1,616 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือรอซื้อประมาณ 26,500 บาทต่อบาททองคำ
ทั้งนี้ ในปีหน้านโยบายของ YLG จะยังคงเป็น One Stop Service สำหรับการลงทุนทองคำ ที่มีทั้งบริการที่ 1 การออมทองสำหรับผู้เริ่มลงทุน ด้วยเงินลงทุน 100 บาท ผ่าน www.ylggoldsaving.com บริการที่ 2 บริการซื้อขายทองคำกับ "YLG ผ่าน Gold Wallet" บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" บริการที่ 3 บริการซื้อขายทองคำแท่งส่งถึงผู้บริโภคโดยตรง มีทั้งทอง 96.5% และ 99.99% มีตั้งแต่ขนาด 0.5 กรัม ไปจนถึงขนาด 1 กิโล บริการที่ 4 แอปพลิเคชัน "YLG Gold Investment" แอปแรกในไทยที่ซื้อขายทองได้ 5 สกุลเงิน (ดอลลาร์, หยวน, สิงคโปร์ดอลลาร์, ยูโร, บาท) ราคาเรียลไทม์ตลอด 24 ชม. สมัครออนไลน์ได้ที่ www.ylggoldinvestment.com เพิ่มโอกาสการทำกำไรได้มากกว่า บริการที่ 5 Gold Online Futures ลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เพิ่มโอกาสทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง นอกจากนี้ ยังจับมือกับ CME Group ตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครอบคลุมบริการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าครบวงจร