นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.50-35.20 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.65-34.85 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดเช้านี้ (26 ธ.ค.) ที่ระดับ 34.76 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.73 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเผชิญความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก กดดันให้สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ปรับตัวลง ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าแม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มาก แต่ตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐฯ รวมถึงจับตาสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน และท่าทีของทางการจีน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways และผันผวนอ่อนค่าลงบ้างตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หรือแรงขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น แต่เรามองว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน เนื่องจากผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มสถานะ Short USDTHB (มีมุมมองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีธุรกรรมในตลาดค่าเงินอาจเบาบางลง ทำให้เงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงได้ (เคลื่อนไหวในกรอบที่กว้าง)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าตลาดการเงินอาจอ่อนไหวกับรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ โดยหากข้อมูลดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด อาจทำให้ตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ หากตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน สามารถหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กดดันสกุลเงินอื่นๆ ได้เช่นกัน
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ - ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Claims) โดยหากรายงานข้อมูลดังกล่าวยังคงออกมาดีกว่าคาด เช่น ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกต่ำกว่าระดับ 220,00 ราย หรือยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่องต่ำกว่า 1.67 ล้านคน ผู้เล่นในตลาดอาจประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่อาจหนุนให้เฟดสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ และอาจแตะระดับสูงกว่า 5.00% ที่ตลาดมองในปัจจุบัน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงหรือระมัดระวังตัวมากขึ้นได้ และ “Santa Rally” หรือภาวะที่ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอาจไม่เกิดขึ้นในปีนี้
▪ ฝั่งเอเชีย - ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน ซึ่งล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลว่าหากสถานการณ์การระบาดในจีนเลวร้ายมากขึ้นในมุมมองของทางการจีน โดยทางการจีนอาจใช้ยอดผู้เสียชีวิตหรือความแออัดของเตียงในโรงพยาบาลเป็นเครื่องชี้วัด ในสถานการณ์ดังกล่าว ทางการจีนอาจกลับมาใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะสั้น และอาจกดดันให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ในฝั่งจีน โดยเฉพาะหุ้น หรือเงินหยวน (CNY) ได้ โดยในกรณีดังกล่าว หากเงินหยวนอ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีน เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลงได้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ตลาดมองว่าการทยอยฟื้นตัวดีขึ้นของภาคการบริการญี่ปุ่นตามการเปิดประเทศ (ดังจะเห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นอย่างคึกคักในช่วงปลายปี) จะช่วยหนุนให้ตลาดแรงงานญี่ปุ่นฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในเดือนพฤศจิกายน อาจลดลงสู่ระดับ 2.5% นอกจากนี้ ตลาดแรงงานอาจตึงตัวมากขึ้น โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับต่อจำนวนผู้สมัครงาน (Job to Applicant Ratio) อาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.36 เท่า นอกจากนี้ การฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศ จะสะท้อนผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายน ที่จะขยายตัว +0.2% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนยอดขายของห้างสรรพสินค้า รวมถึง Supermarket อาจโตกว่า +3.2%y/y ส่วนในฝั่งเวียดนาม ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ยอดการส่งออก และการนำเข้า รวมถึงยอดค้าปลีก และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนธันวาคม โดย ตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออกของเวียดนามอาจเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอาจหดตัว -10%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้าอาจหดตัว -7%y/y ตามการส่งออกที่ซบเซาลง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจเวียดนามจะยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวดีขึ้นของการบริโภคในประเทศตามการเปิดประเทศ ซึ่งจะสะท้อนผ่านยอดค้าปลีกที่อาจโตราว +10%y/y นอกจากนี้ เศรษฐกิจเวียดนามอาจขยายตัวต่อเนื่องกว่า +4.6%y/y ในไตรมาสที่ 4 ส่งผลให้ในปี 2022 เศรษฐกิจเวียดนามอาจขยายตัวถึง +7.8%y/y ทั้งนี้ ภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง อาจสร้างแรงหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เร่งขึ้นสู่ระดับ 4.80% ซึ่งอาจชี้ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) อาจยังดำเนินต่อไปได้ในปี 2023 ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่ามีโอกาสที่ SBV จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ราว +0.50% ถึง +1.00% หลังจากขึ้นดอกเบี้ย +2.0% สู่ระดับ 6.00% ในปีนี้
▪ ฝั่งไทย - ตลาดคาดว่าผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้ยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนพฤศจิกายนอาจหดตัวต่อเนื่อง -5%y/y ในขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจยังขยายตัวราว +0.6%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) อาจขาดดุลราว -100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ