กระแสรักษ์โลก หรือการหันมาให้ความสนใจและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม กลายเป็นกระแสที่กระตุ้นให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีส่วนในการสร้างผลกระทบสิ่งแวดล้อม และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างซึ่งหันมาให้ความสำคัญกับขั้นตอนการผลิตและการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น คำถาม คือ “Smart Living และ Sustainable living หรือชีวิตที่ยั่งยืนเป็นแค่กระแส หรือเป็นสิ่งที่จำเป็นในอนาคต”
โดย นายศานิตย์ ภู่บุบผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด SCG Home Experiences กล่าวถึง กระแส “Smart Living และ Sustainable living” SCG ได้นำบทวิจัยสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในวางเป้าหมายขององค์กร โดยบทวิจัยดังกล่าวระบุว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า กลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้านกว่า 40% จะเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าทำไมทุกธุรกิจต่างขยับตัวและให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อสรุปได้ว่าเทรนด์ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนี้ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอด ดังนั้น เทรนด์ Smart Living และ Sustainable living จะเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นแน่นอน และไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะฝั่งของผู้ประกอบการ แต่จะเกิดขึ้นทั้งสองฝั่งคือในฝั่งของผู้บริโภคและฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจด้วย
ซึ่งจะเห็นได้จากตัวสินค้าและบริการของเอสซีจีที่เป็นกรีนแมททีเรียลใหม่ใหม่ออกมาสู่ตลาดเรื่อยๆ เพราะเทรนด์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นแค่กิมมิกการตลาด แต่จะเป็นเทรนสินค้าที่เกิดการใช้งานอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน เทรนด์ Smart Living และ Sustainable living นี้กลุ่มธุรกิจต่างๆ จะนำไปใช้ในองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะกลุ่มลูกค้านักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมซึ่งมีปริมาณมากกว่า 50% จะเลือกและสนใจลงทุนในองค์กร หรือหุ้นที่ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนั้นองค์กรที่ไม่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการพิจารณาน้อยกว่าบริษัทที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
เพื่อรองรับกับเทรนด์ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อม SCG HOME Experience เป็นร้าน Flagship store ของ SCG HOME ที่เน้นสินค้านวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย พร้อมบริการติดตั้ง ครบจบทุกเรื่องบ้าน ช่วยตอบโจทย์ทุกความต้องการให้เจ้าของบ้าน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา บริการออกแบบบ้านใหม่ ต่อเติมและปรับปรุงบ้าน ไปจนถึงสินค้าพร้อมบริการติดตั้ง จบในที่เดียว ตั้งเป้าว่าจะเป็นเป้าหมายของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้าน และรีโนเวตที่อยู่อาศัย ในขณะเดียวกัน ยังเป็นศูนย์ให้คำแนะนำสินค้า.ควบคู่ไปกับการออกแบบ และบริการจำหน่ายสินค้าของเอสซีจีให้ลูกค้าที่ต้องการไปด้วย โดยคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายประมาณ 300 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมา SCG HOME Experience ได้เก็บข้อมูลลูกค้าและผู้บริการจนถึงปัจจุบันมีกว่า 1.3 ล้านราย และประมวลออกมาเป็นเทรนด์การเลือกวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีฟวิ่งเทรนด์ของผู้บริโภคในแต่ละปี โดยในส่วนของการที่เลือกซื้อสินค้าจากเอสซีจีโฮมโซลูชันมีกว่า 85% ของลูกค้าที่เลือกซื้อแบบโซลูชัน ไม่ใช่การเลือกซื้อสินค้าชิ้นเดียว หรือเลือกวัสดุก่อสร้างบางตัวอย่างเช่นในอดีต ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างในปัจจุบัน
ทั้งนี้ จากการจัดเก็บข้อมูลกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการใน SCG HOME Experience พบว่าเทรนด์การสร้างที่อยู่อาศัยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อโดยเทรนด์แรกที่เกี่ยวข้องกับผู้อยู่อาศัย คือ 1.Eco living solution ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 175% ซึ่งเทรนด์นี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะปัญหาภาวะโลกร้อนทำให้ลูกค้าตระหนักถึงผลกระทบและหันมาให้ความสำคัญกับนวัตกรรมการก่อสร้างในวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น
2.Care&Elderly Living solution มีอัตราการเติบโตสูงถึง 85% เพราะหลังจากที่สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ลูกหลานหันมาให้ความสนใจกับการออกแบบพื้นที่หรือปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมกับ ความต้องการของผู้สูงอายุในครอบครัวโดยลูกค้าจะมาร่วมออกแบบพื่นที่ดังกล่าวด้วย โดยในปัจจุบันบ้านที่ก่อสร้างใหม่จำนวนมากได้ถูกออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่มีการออกแบบพื้นที่เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุนี้จะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่โดยลูกจะเป็นผู้ซื้อเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในเซกเมนต์นี้ลูกค้าที่เข้ามาออกแบบเพื่อก่อสร้างพื้นที่จะใช้เวลาตัดสินใจค่อนข้างนานโดยการออกแบบพื้นที่จะให้ความสำคัญกับมันติฟังก์ชัน และวัสดุก่อสร้างที่เป็นนวัตกรรมใหม่ใหม่ เช่น วัสดุปูพื้นช่วยลดแรงกระแทก ลิฟต์บ้าน หรือบันไดเลื่อน เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ เป็นต้น
3.Smart Living Solotion มีอัตราการเติบโตถึง 80% โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่ให้ความสนใจในเรื่องการบริหารจัดการในบ้านด้วยระบบไอโอที การใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ เข้าไป เช่น การเปิดปิดประตูบ้าน การเช็กการเปิดปิดไฟภายในบ้าน การติดตั้งระบบเช็กอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งมีผู้ประกอบการที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการเริ่มใส่ฟังก์ชันนี้เข้าไปในโครงการที่อยู่อาศัยบ้างแล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลต่อการประหยัดพลังงานด้วย นอกจากนี้ ลูกค้าให้ความสนใจ Smart Living Solotion ในหลากหลายมุม เช่น สมาร์ท ซิเคียวริตี มาร์ทเอ็นเนอร์จี สมาร์ทเซฟตี ซึ่งขณะนี้มีนวัตกรรมใหม่ออกมารองรับจำนวนมากขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าต้องการ หรือสนใจนวัตกรรมไหน
“ล่าสุดเทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง และการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในบ้าน โดยลูกค้าจำนวนมากต้องการต่อเติมบ้านก่อนเข้าอยู่ซึ่งพื้นที่ที่ต้องการมีการต่อเติมมากที่สุดคือโรงจอดรถในห้องครัว ต่อเติมส่วนซักล้าง ดังนั้น ที่ผ่านมา SCG Home Experience จึงได้มีการร่วมกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายหลายรายในการออกแบบและพัฒนาพื้นที่ที่ลูกค้ามีการต่อเติมมากที่สุด และนำมาพัฒนาให้เป็นโปรดักต์ที่ประกอบจากภายนอกแล้วยกไปติดตั้งได้ทันที เข่น ส่วนซักล้าง ห้องครัว โรงจอดรถ และห้องทำงาน” นายศานิตย์ กล่าว
สำหรับวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง บวกกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลต่อบริบทของการใช้ชีวิต และการทำงาน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ ซึ่งเริ่มกลายเป็น ‘Now Normal’ ดังนั้น เอสซีจีซึ่งเป็น Innovative leader ด้านวัสดุก่อสร้าง
อาคารและที่อยู่อาศัย ได้พัฒนาและนำแนวคิดนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มาพัฒนาเป็น 5 เทรนด์บ้านที่อยู่อาศัย และการก่อสร้างแห่งปี 2022 เพื่อตอบโจทย์วิถี Now Normal ซึ่งสอดคล้องกับ พฤติกรรมการอยู่อาศัย และการก่อสร้างวิถีใหม่ โดยผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีสุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย และตอบการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกัน คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเริ่มปรับตัว และพัฒนาวิถีชีวิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านการใช้ชีวิต และทำทุกกิจกรรมต่างๆ ทั้งทำงาน เรียน พักผ่อน
โดยเอสซีจีเชื่อว่านวัตกรรม หรือเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับเคลื่อนการอยู่อาศัย และการก่อสร้างสู่อนาคตใหม่ที่ดีกว่า จึงนำปัจจัยเหล่านี้มาอัปเดตเป็นเทรนด์บ้านที่อยู่อาศัย และการก่อสร้างที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในปัจจุบัน และในอนาคต เพื่อเป็นไอเดียให้ทุกคนก้าวสู่การอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
5 เทรนด์บ้าน และการก่อสร้างปี2565
1.Smart Living and Building นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้าน หรือใช้สั่งเปิดปิด และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และอาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ปลอดภัย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง หรือเซ็นเซอร์ แอปพลิเคชัน ดิจิทัลแพลตฟอร์ม รวมไปถึงเครื่องใช้ภายในบ้านระบบอัตโนมัติต่างๆ ซึ่งเอสซีจีเล็งเห็นแนวโน้มเหล่านี้จึงได้พัฒนานวัตกรรมสินค้าและโซลูชันสำหรับการอยู่อาศัยมากมาย เช่น ระบบหลังคาโซลาร์เซลล์ สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำอัตโนมัติ ระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ระบบตรวจจับและส่งข้อมูลไร้สายประสิทธิภาพสูง ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพัฒนา Smart Living Application ระบบที่เชื่อมต่อการทำงานของนวัตกรรมจากเอสซีจีไว้ในที่เดียว
2.Health & Well-Being ในยุคนี้ เรื่องสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะโควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ต่างสร้างความกังวลให้เราทุกคน ดังนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าเราปรับบ้านและอาคารให้พร้อมรับมือกับความกังวลเหล่านี้เพื่อดูแลสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเอสซีจีจึงแนะนำนวัตกรรมที่ช่วยปรับบ้านให้อยู่สบาย ปลอดภัย ไร้กังวล เช่น ระบบ Active AIRflow™ System นวัตกรรมถ่ายเทอากาศที่ช่วยลดการสะสมเชื้อโรค
ความอับชื้นภายในบ้าน และช่วยยกระดับคุณภาพอากาศภายในบ้านให้สะอาดขึ้น ระบบ Active AIR Quality นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ ป้องกันฝุ่นควัน กรองอากาศดีเข้าบ้าน ช่วยแก้ปัญหามลพิษในบ้านอย่างยั่งยืน รวมถึงสุขภัณฑ์และกระเบื้องยับยั้งแบคทีเรียและลดการสัมผัส กลุ่ม HygienicTile และ Health and Clean Tile เป็นต้น
3.Sustainable Living ความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ หลายคนหันมาใส่ใจและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มอบความยั่งยืน ทั้งด้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อผู้อาศัย ซึ่งแนวทางการเลือกสรรไม่ยากอย่างที่คิด ทุกคนสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองฉลาก SCG Green Choice หรือฉลากรับรองสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยที่ดี ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ปูนซีเมนต์ หลังคาหลากหลายรุ่น ฝ้าและผนังสมาร์ทบอร์ด ทั้งกระเบื้องหลังคาเซรามิก คอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ ไปจนถึงหลังคาโซลาร์ ระบบภายในอาคาร กระเบื้องเซรามิก วัสดุซับเสียง สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำ รวมถึงวัสดุจัดสวนและพื้นที่รอบบ้าน และอีกมากมายเรียกได้ว่าสามารถสร้างบ้าน หรือตึกที่รักษ์โลกได้ทั้งหลังกันเลยทีเดียว
4.Home Transformation ทุกวันนี้บ้านได้กลายเป็น “Multi-functional Space” ที่เป็นทั้งบ้าน ออฟฟิศ โรงเรียน ฟิตเนส ที่พักผ่อน หลายคนจึงหันมาปรับและต่อเติมพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคน โดยเน้นให้มีความยืดหยุ่น และใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์มากที่สุด เช่น แบ่งสัดส่วนห้องทำงาน/ห้องเรียนในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น จัดสรรพื้นที่ในห้องครัวเป็นโซนนั่งชิล โต๊ะทำงาน และทานอาหาร ตกแต่งสวนหน้าบ้านให้เป็นสนามเด็กเล่น พื้นที่ออกกำลังกาย มุมพักผ่อน และโรงจอดรถ เป็นต้น ซึ่งวัสดุก่อสร้าง และโซลูชันที่นำมาใช้ปรับพื้นที่ เช่น แบ่งสัดส่วนพื้นที่ด้วยระบบผนังเบากันเสียงสำเร็จรูปที่ติดตั้งได้รวดเร็ว ไม่กระทบการอยู่อาศัย และช่วยลดเศษวัสดุจากการก่อสร้าง และผนังสมาร์ทบอร์ด เพิ่มฟังก์ชันกันเสียงและซับเสียงด้วยวัสดุอะคูสติก จากเอสซีจี ปรับพื้นที่นอกบ้านด้วยผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน พร้อมติดตั้งหลังคาโรงรถ และกันสาด เป็นต้น
5.Construction Transformation การออกแบบและก่อสร้างอาคารแห่งอนาคต กำลังถูกทรานส์ฟอร์มด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างมากมาย ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดเวลา ลดเศษวัสดุในไซต์งานก่อสร้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีความแม่นยำสูง และครบวงจร โดยเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ นวัตกรรม 3D Cement Printing ใช้สร้างสรรค์ได้ทั้งงานก่อสร้าง และงานตกแต่งที่มีความซับซ้อน สามารถครีเอตลายปรินต์ได้อย่างหลากหลาย ขึ้นรูปชิ้นงานได้ตามรูปแบบที่ต้องการ เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ที่ช่วยสร้างความแม่นยำในการออกแบบ บริหารจัดการและควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างตั้งแต่ก่อนโครงการขณะก่อสร้างและหลังจบโครงการ และ Drone นวัตกรรมประเมินพื้นที่ก่อนออกแบบผังโครงการ ช่วยลดความผิดพลาดในการก่อสร้าง เพิ่มความปลอดภัยในไซต์งาน เป็นต้น