ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ปัจจุบัน (พ.ย.65) และ 3 เดือนข้างหน้า โดยในเดือน พ.ย.65 ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่ 35.0 จาก 33.8 ในเดือน ต.ค.65 และดัชนี KR-ECI 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 36.4 จาก 35.7 ในเดือน ต.ค.65 สะท้อนว่าครัวเรือนมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับดัชนีเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ย.65 ที่แผ่วลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ 5.55% โดยราคาสินค้าในหลายรายการมีการปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอย่างน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์เดือน ต.ค.ได้ปรับลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 35 บาทเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้าที่ขณะนี้อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วยถึงเดือน ธ.ค.65 มีแนวโน้มที่อาจถูกตรึงไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (ณ 4 ธ.ค.65 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทยแล้วกว่า 9.09 ล้านคน และสร้างรายได้ให้ไทยกว่า 3 แสนล้านบาท) ได้หนุนให้การบริโภคและการจ้างงานภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3/65 การจ้างงานของไทยขยายตัว 2.1%YoY รวมถึงชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
อย่างไรก็ดี ครัวเรือนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในระยะข้างหน้า สะท้อนผ่านดัชนีดังกล่าวที่ปรับลดเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า (กังวลมากขึ้น) โดยมาจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเดือนและผลตอบแทน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว อีกทั้งในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มเผชิญปัจจัยที่ท้าทายสำคัญหลายประการจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงที่จะชะลอลง ซึ่งจะฉุดรั้งความต้องการสินค้าจากไทย ประกอบกับปริมาณคำสั่งซื้อจากจีนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้จีนจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด โดยการส่งออกไทยเดือน ต.ค.65 เผชิญกับการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าภาพรวมการส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 7.8%YoY ที่ประเมินไว้เดิม ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการผลิตและการจ้างงานในประเทศ นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ารายได้เกษตรกรในปี 66 อาจหดตัวอยู่ที่ราว 0.8%YoY จากแรงกดดันด้านราคา
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการสังสรรค์และท่องเที่ยวของครัวเรือนในช่วงสิ้นปี 2565 โดยสืบเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ที่ได้คลี่คลายลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พบว่า ในปีนี้ครัวเรือน 38% ได้มีแผนที่จะจัดงานสังสรรค์กับเพื่อนๆ/ครอบครัว อย่างไรก็ตาม ครัวเรือน 23% ยังไม่มีแผนใดๆ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่แล้ว และอีก 22% ยังไม่มีแผนเนื่องจากยังไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนี้ พบว่า 55% ของครัวเรือนที่ระบุว่ามีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวจะเป็นเป็นการท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ ภายในประเทศ 78% ขณะที่อีก 22% คาดว่าจะท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะเพิ่มขึ้น 6.8%YoY
ในระยะข้างหน้า การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังมีความเปราะบางจากการเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะราคาพลังงานโลกที่แม้จะเริ่มลดลงแต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจผันผวนได้ อีกทั้งแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศอาจไม่ปรับลดลงมาได้เร็วท่ามกลางการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการมายังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการลดการอุดหนุนราคาพลังงานของภาครัฐ ขณะที่เศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในช่วงปีหน้าซึ่งอาจมีผลกระทบต่อไปยังความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ขณะที่ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. (โดยปี 2566 คาดปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00%) อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนจากแนวโน้มการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารต่างๆ แล้ว ทั้งนี้ คงต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นก่อนช่วงสิ้นปี เช่น มาตรการลดหย่อนทางภาษี มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องของมาตรการกับกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม