วีซ่า ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ประกาศมาตรการล่าสุดด้านความปลอดภัยของการชำระเงินสำหรับประเทศไทย เพื่อปกป้องผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ และระบบนิเวศทางการชำระเงินให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ โดยระดับการป้องกันสำหรับทั้งการทำธุรกรรมทางออนไลน์ และ ณ จุดรับชำระในร้านค้า
น ส.พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความปลอดภัยถือเป็นสิ่งที่วีซ่าให้ความสำคัญสูงสุด และได้มีการลงทุนมหาศาลเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องในทุกๆ ธุรกรรมการชำระเงินผ่านเครือข่ายของวีซ่า ในปัจจุบันเมื่อภูมิทัศน์ทางการชำระเงินเปลี่ยนแปลง ภัยคุกคามต่างๆ มีการปรับตัวตามด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรายินดีที่จะนำเสนอโรดแมปด้านความปลอดภัยที่ระบุถึงมาตรการและขั้นตอนต่างๆ ที่วีซ่าจะร่วมทำงานกับพันธมิตรของเราเพื่อเดินหน้าทำให้ระบบนิเวศทางการชำระเงินของประเทศไทยปลอดภัยยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน นวัตกรรมด้านความปลอดภัยของวีซ่าได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีที่ตรวจสอบข้อมูล ลดการฉ้อโกง และป้องกันระบบนิเวศทางการชำระเงิน ใน 5 ปีที่ผ่านมา วีซ่าได้ลงทุนกว่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการรับมือกับการฉ้อโกง โดยใช้โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลในการระบุตัวตน สอบสวน ขัดขวาง และป้องกันการโจมตีระบบนิเวศทางการชำระเงินของโลก นอกจากนั้น ยังสามารถนำเสนอกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย และแผนการป้องกันที่ครอบคลุมเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ๆ
โดยหนึ่งในโซลูชันที่สำคัญ คือ Visa Advanced Authorisation เป็นเทคโนโลยีที่วิเคราะห์องค์ประกอบข้อมูลมากกว่า 500 ข้อมูลเพื่อให้คะแนนความเสี่ยงในแต่ละธุรกรรม ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมาช่วยให้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลกสามารถป้องกันการฉ้อโกงได้กว่า 26 พันล้านเหรียญสหรัฐ
“เมื่อมองถึงอนาคตด้านความปลอดภัย วีซ่าเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค และการยืนยันตัวตนผ่านระบบดิจิทัลจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันภัยคุกคามใหม่ๆ ในปัจจุบัน ที่การค้าขายมุ่งสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังอยากกระตุ้นให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมการชำระเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องผู้บริโภค และเสริมสร้างให้เศรษฐกิจประเทศไทยมั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจพบว่า ปัจจุบันผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ชีวิตแบบไลฟ์สไตล์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น ดังนั้นการใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ต่างได้รับความนิยมขึ้น เช่น การใช้ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า และการให้ข้อมูลที่ใช้ยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัลเมื่อทำกิจกรรมออนไลน์ โดยปัจจุบันกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักการชำระเงินด้วยไบโอเมตริกซ์ โดยมากกว่าครึ่ง (53%) เชื่อว่าเป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัยกว่า ขณะที่ความเป็นเจ้าของข้อมูลตัวตนดิจิทัลปัจจุบันของภูมิภาคนี้อยู่ในระดับต่ำ (18%) แต่กระนั้นกลุ่มผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลตัวตนดิจิทัลมีความรู้จักในระดับสูง (71%) และความสนใจในการชำระเงินด้วยไบโอเมตริกซ์ (63%) ก็สูงเช่นกัน
อนึ่ง โรดแมปด้านความปลอดภัยของวีซ่าได้ระบุขั้นตอนที่วีซ่าจะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบนิเวศทางการชำระเงินในประเทศไทย ได้แก่ ขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีเพิ่มเสริมสร้างความปลอดภัย สร้างความปลอดภัยในการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล เสริมสร้างความความยืดหยุ่นของระบบนิเวศการชำระเงิน ป้องกันการโจมตีแบบสุ่ม ยกระดับความพร้อมของผู้เล่นในระบบนิเวศให้รับมือกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ และป้องกันผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจจากการเป็นเหยื่อของผู้ฉ้อโกง