ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ซึ่งเป็นการประชุม กนง.ครั้งสุดท้ายของปีนี้ กนง.จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับ 1.25% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของ กนง. ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นมาจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย สะท้อนราคาสินค้าในภาพรวมยังคงเร่งตัวสูงขึ้น แม้แรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มลดลง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหลังจากในไตรมาส 3/2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 4.5% YoY
ดังนั้น กนง. คงพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมที่จะถึงนี้ และคงจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ ขณะที่แรงกดดันจากประเด็นด้านค่าเงินนั้นเริ่มมีลดลง หลังจากค่าเงินบาทพลิกภาพมาแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์
สำหรับในปีหน้าเส้นทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. คงขึ้นอยู่กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักอย่างเฟดเป็นสำคัญ โดยมีความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 1.75-2.00% ในปีหน้า ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ อ่อนแรงลง ซึ่งคงจะส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงเฟดกลับมาให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฟดคงชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไป และอาจหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ซึ่งคงจะส่งผลให้ปัจจัยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์นั้นมีน้อยลงและส่งผลต่อไปยังค่าเงินบาทให้อาจพลิกภาพมาแข็งค่าได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อ กนง. ด้านค่าเงินอีกทางหนึ่ง ดังนั้น จากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและค่าเงินที่ลดลง กนง. คงกลับมาให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยลง และหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีหน้า