นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับประมาณการค่าเงินบาทปลายปีนี้มาอยู่ที่ระดับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์กรอบเงินบาทในปีหน้าทึ่ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือมีค่ากลางที่ 33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจากการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงของเฟดหลังเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดและค่อยๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง และการปรับตัวดีขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย หลังจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปีหน้าที่ 13-20 ล้านคน ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะกลับมาขาดดุลลดลงเหลือประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรืออยู่ในภาวะสมดุล จากปัจจุบันที่ขาดดุลอยู่ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"แม้ว่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่ในช่วง 2-3 เดือนนี้จะยังมีความผันผวน จนกระทั่งในช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางปีหน้าที่จะมีความชัดเจนถึงปัจจัยหนุนดังกล่าว เมื่อธนาคารกลางเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงและอาจจะกลับมาสู่ทิศทางการค่อยๆปรับลดดอกเบี้ยลง หลังเงินเฟ้อผ่านจุดพีกมาแล้วและแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยมีสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดนั้น จากเดิมที่ตลาดมองทิศทางนโยบายของเฟดเป็นตัวหลักในการเคลื่อนไหวของค่าเงิน จะกลับมามองที่ปัจจัยพื้นฐานของแต่ละประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นช่วงที่ปัจจัยพื้นฐานของเราเริ่มมีจุดที่ดีขึ้นจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง แต่การแข็งค่าของเงินบาทจะยังถูกจำกัดจากการที่ไทยเองยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพอยู่ราวๆ 4.7% เช่นกัน"
สำหรับในสัปดาห์หน้าที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นรอบสุดท้ายของปีนี้ คาดว่า กนง.จะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% มาที่ 1.25% และยังคงขึ้นในอัตราเดิมอีก 2 ครั้งในปีหน้ามาที่ 1.75% โดยมองว่า กนง.จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยแม้ว่าในไตรมาส 2 จะยังเติบโตได้ที่ 4.5% แต่ยังไม่พร้อมที่จะรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูง เนื่องจากยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง และยังโตต่ำกว่าศักยภาพอยู่พอสมควร
