xs
xsm
sm
md
lg

LEO กำไรพุ่ง 106% มั่นใจปี 2566 กระโดดจาก New JV- M&A

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




"ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์" กำไรเพิ่มขึ้น 106% นิวไฮ 7 ไตรมาสติด ด้วยอานิสงส์ปริมาณการขนส่งทางเรือและทางอากาศพุ่ง ผู้บริหารเผยผลประกอบการปี 2565 เป็นออลไทม์ไฮติดต่อกันเป็นปีที่ 3 เนื่องจากปริมาณตู้สินค้าที่ส่งทางเรือและน้ำหนักของการขนส่งทางอากาศยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 พร้อมบุ๊กรายได้ขนส่งสินค้า จีน-ไทย จากการเป็นพันธมิตร China Post/Tengun และจับมือพันธมิตรใหม่ “เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท-ศรีตรังโลจิสติกส์” เสริมความแข็งแกร่งขนส่งสินค้าทางรถไฟจีน-ลาว-ไทยครบวงจร 


นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 107.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,022.9 ล้านบาท ลดลง 6% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีรายได้รวม 1,084.7 ล้านบาท อันเป็นผลจากอัตราค่าระวางเรือทั่วโลกมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรแบบ End-to-End Global Logistics และมีรายได้อื่นๆ ในการให้บริการนอกเหนือจากค่าระวาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ทางบริษัทได้รับจากค่าบริหารจัดการและการให้บริการที่ครบวงจรได้อยู่ในระดับที่ดี จึงทำให้บริษัทได้รับผลกระทบที่จำกัดจากการลดลงของค่าระวางในตลาดโลก

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 297.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 121.9 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 4,009.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,118.2 ล้านบาท

“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ได้รับปัจจัยหนุนจากจำนวนตู้สินค้าจากปริมาณการขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 104 เมื่อเทียบกับปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 2/2565 ในขณะที่รายได้จากการขนส่งสินค้าทางอากาศในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 107 และในรอบระยะเวลา 9 เดือนสูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 18 จากปัจจัยทั้งสอง และความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ที่มีการบริการและกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มีสายเดินเรือและสายการบินที่เป็นพันธมิตรเป็นจำนวนมาก และมี Overseas Network ที่อยู่ทั่วโลก ทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นและการทำไรสุทธิของบริษัทฯ ได้ในระดับที่ดี จึงทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ถึงแม้ค่าระวางจะลดลงทั่วโลก และทำให้อัตราการทำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 20% ขึ้นมาเป็น 23% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.5% ขึ้นมาเป็น 10.7% ในไตรมาส 3/2565 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2565 ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 บริษัทฯ คาดว่าจะยังมีการเติบโตทางด้านปริมาณการขนส่งทั้งทางเรือ อากาศ และจะมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟเพิ่มขึ้นด้วย และมั่นใจว่าผลประกอบการของปี 2565 จะโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่บริษัทเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกหนึ่งปัจจัยบวกสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 เพราะบริษัทฯ ได้เริ่มรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นธุรกิจ Self Storage เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ลูกค้าในส่วนของ SME บริษัทออแกไนซอร์ และกลุ่มลูกค้าที่ซ่อมบ้านเริ่มกลับมาใช้บริการมากขึ้น และยังมีลูกค้าที่นำเอาของใช้ส่วนตัวมาเก็บเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งบริษัทฯ ได้เปิด LEO Self Storage # Chinatown แฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกของประเทศไทยใจกลางย่านเยาวราช ที่เป็นแหล่งการค้าและที่อยู่อาศัยที่สำคัญ และมีพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเริ่มมีการรับรู้รายได้จากสาขาที่ 2 เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับแนวโน้มในปี 2566 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเป็นปีที่บริษัทฯ จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ JV และ M&A ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้าอีกหลายโครงการ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ Non-Freight และ Non Logistics ที่มีอัตรากำรขั้นต้นสูงถึง 30-50% เพื่อมาชดเชยกับอัตราค่าระวางที่ลดลง เช่น การเข้าร่วมลงทุนกับ ADVANTIS FREIGHT (PVT) LIMITED ซึ่งเป็นบริษัทระดับ Regional Player ในภูมิภาค Asia เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ในการดำเนินธุรกิจ Logistics & Distribution Center ร่วมลงทุนกับบริษัท เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด (SK Asset Management Company Limited.) บริษัทในเครือ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อดำเนินโครงการ Self-Storage แห่งที่ 3 เพื่อให้บริการพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า และพัฒนาธุรกิจคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Self-Storage, Warehouse & Integrated Logistics Services Project) ต่อยอดในการขยายธุรกิจ Self-Storage และ Warehouse ของบริษัทฯ

อีกทั้งยังจะจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับบริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT ในการดำเนินธุรกิจศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics Center) และให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทยังมีการริเริ่มธุรกิจ Non-Logistics ด้วยการสนับสนุนโครงการเพาะพันธุ์ปลูกขายต้นกล้ากัญชา และพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อการแพทย์กับทางวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัย เกษตรปลอดภัย ณ หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนของโครงการและรายได้ในปี 2566 นอกจากนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ จะเปิดดำเนินการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้ Container แห่งที่ 2 ภายในปี 2566 โดยบริษัทฯ คาดว่าธุรกิจใหม่ทั้งหมดหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ให้ทางบริษัทฯ ได้อย่างน้อยปีละ 200 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า

และล่าสุด LEO ได้จับมือกับบริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และบริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด เพื่อมาร่วมผลักดันและส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง จากสาธารณรัฐประชาชนจีน (คุนหมิง)-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เวียงจันทน์)-ประเทศไทย โดยการร่วมมือในครั้งนี้บริษัทจะสามารถขยายการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนได้มากขึ้น และทำให้ความร่วมมือในการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรถไฟร่วมกับทาง China Post และ Tengjun สามารถบริการได้คลอบคลุมประเทศจีนได้มากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังสามารถทำหน้าที่เป็น “One-Stop Service Provider” ให้ผู้ส่งออกและนำเข้าของไทยในการส่งออกและนำเข้าสินค้ากับประเทศจีน รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก 

เนื่องจากบริษัทมีการจัดตั้งบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain เพื่อทำการส่งสินค้าไปยัง e-Commerce Platform ของทาง China Post และ Tengjun รวมถึง e-Commerce Platform ของอีกหลายมณฑลในประเทศจีนที่เป็นพันธมิตรกับทางบริษัทบริษัทเบาไทน รวมถึงการนำเข้าสินค้าจกประเทศจีนมายังประเทศไทย และในที่ประชุมคณะกรรมการฯ ของบริษัทฯ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ได้อนุมัติให้ทางบริษัทจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับทางบริษัท เบาไทยฯ และศรีตรังฯ ในการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไประหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟในปีหน้าร่วมกับทางพันธมิตรของบริษัทเช่น China Post/Tengjun เบาไทยฯ และศรีไทยฯ ได้อย่างน้อย 200 ล้านบาทในปี 2566

นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีโครงการ JV และ M&A ที่อยู่ในระหว่างการเจรจาและหาข้อสรุปอีก 3-4 โครงการ ซึ่งคิดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ภายในไตรมาส 4/2565 นี้ และบริษัทจะสามารถเริ่มบุ๊กรายได้จากโครงการต่างๆ เหล่านี้ได้ภายในไตรมาส 3/2566 เป็นอย่างช้า บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าปี 2566 จะเป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านของธุรกิจและผลประกอบการ และสามารถสร้างผลงานให้เป็นนิวไฮอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 4 นายเกตติวิทย์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น