xs
xsm
sm
md
lg

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีปีนี้เป็น 2.9% รับท่องเที่ยวฟื้น-เงินเฟ้อยังเสี่ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการจีดีพีปี 65 เติบโตเพิ่มเป็น 2.9% จากเดิมที่ 2.5% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง แต่ในภาพรวมยังมีปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องติดตามในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเข้าสู่ระดับสูงสุดในไตรมาส 3 และวิกฤตอาหารโลกที่จะยังส่งให้ราคาอาหารยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างน้อยถึงกลางปีหน้า ขณะที่คาดการณ์กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2 ครั้งเข้าสู่ระด้บ 1% และทิศทางเงินบาทยังอ่อนค่าในช่วง 2-3 เดือนนี้มีโอกาสแตะระดับ 36.00

น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
มองว่า แม้ไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงหลังสิ้นสุดหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กอปรกับมีการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นตามการนำเข้าพลังงาน แต่เมื่อรวมผลจากจีดีพีไตรมาส 1/2565 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด มุมมองการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าที่เคยประเมินเล็กน้อย รวมถึงแรงหนุนสำคัญจากรายได้นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 จาก 2.5% มาอยู่ 2.9% โดย น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.0 ล้านคน มาเป็น 7.2 ล้านคน ซึ่งทำให้มีรายได้ท่องเที่ยวจากทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 1.1 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะยังห่างจากช่วงก่อนโควิดที่ทำได้ถึงราว 3 ล้านล้านบาทก็ตาม

**คาดแบงก์ตรึงดบ.มาตรฐานช่วยลูกค้า**
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยติดตามสำคัญยังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่คงจะเข้าหาระดับสูงสุดในไตรมาส 3/2565 ซึ่งทำให้ กนง.อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าหาระดับ 1.0% ภายในสิ้นปีนี้ เทียบกับ 0.5% ในปัจจุบัน ท่ามกลางภาวะที่เฟดคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง แต่คาดว่าแบงก์ไทยจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของฝั่งเงินฝากและเงินกู้ตามในทันที โดยคงเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับเฉพาะบางผลิตภัณฑ์มากกว่า เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูงและยังมีโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ

ส่วนเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าเข้าหาระดับ 36.0 บาทต่อดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ตามปัจจัยเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังหนุนเงินดอลลาร์ และมีการปรับตัวผ่านเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยบางส่วน กระนั้นก็ดี ไทยยังไม่ต้องห่วงผลกระทบต่อความมั่นคงของระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากยังอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้กว่า 1.2 เท่า

"จะมองว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นหรือไม่ เศรษฐกิจไทยฟื้นแต่เป็นการฟื้นตัวที่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในอนาคตอันใกล้ แต่เรายังมองว่าน่าจะเป็นในระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้อยู่ แต่ในระยะยาวหากเราไม่มีการปรับโครงสร้างต่างๆ ให้ดีขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจอาจจะไม่ยั่งยืน"

ส่วนผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของหนี้ครัวเรือนนั้น มองว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหลักๆ น่าจะเป็นกลุ่มที่ผ่อนชำระทรัพย์สิน อย่างที่อยู่อาศัย หรือรถยนต์ แต่อัตราการปรับขึ้นที่ไม่มาก เชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะยังรับภาระที่เพิ่มขึ้นได้อยู่ แต่กลุ่มที่ยังน่าเป็นห่วงจะเป็นกลุ่มสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มไหน แม้ว่าปัจจุบันทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ได้มีมาตรการกลางออกมาในเรื่องการผ่อนปรนต่างๆ แต่ลูกหนี้สามารถเจรจากับธนาคารได้อยู่ในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ ธปท.เองได้มอบนโยบายไว้อยู่แล้ว

สำหรับประเด็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหารนั้น น.ส.เกวลิน มองว่า ในขณะนี้ไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะความตึงตัวของผลผลิตอาหาร ซึ่งยังไม่ใช่วิกฤตด้านอาหารดังที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารไทยเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่แพงขึ้นซึ่งอาจกระทบผลผลิต ประกอบกับความต้องการและราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้น หนุนการส่งออกในบางรายการ ดังนั้น ราคาอาหารไทยอาจปรับขึ้นในครึ่งหลังปีนี้และมีแนวโน้มยืนสูงต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ข้าว และเนื้อหมู ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังมีโจทย์ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลฐานะรายรับรายจ่ายและใช้สอยอย่างรอบคอบต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น