xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ 35.22 บาท ผันผวนทางอ่อนค่า จับตาฟันด์โฟลว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.22 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.21 บาทต่อดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.10-35.35 บาท/ดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินโดยรวมปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจโลกอาจชะลอลงหนักตามการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง ส่วนมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.90-35.50 บาท/ดอลลาร์ โดยในสัปดาห์นี้ เรามองว่าตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟด หลังจากล่าสุดเฟดได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยกว่า 0.75% และยังมีแนวโน้มเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทยังมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่าไปทดสอบแนวต้านในโซน 35.40 บาทต่อดอลลาร์ โดยแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจยังคงมาจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติไหลออกในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง รวมถึงทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงไม่อ่อนค่าได้ง่ายนัก จนกว่าตลาดจะมั่นใจว่าเฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งนี้ เรามองว่า หากราคาทองคำมีการรีบาวนด์ขึ้นมา อาจมีโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ นอกจากนี้ เงินบาทจะยังไม่อ่อนค่าไปทดสอบแนวต้านระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ หากตลาดไม่ได้กังวลการเริ่มใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้งในบางพื้นที่ของจีน จนหันมาเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ทั้งหุ้นและบอนด์อย่างรุนแรง

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราประเมินว่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่าตามความผันผวนในตลาดการเงิน ท่ามกลางความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจย่อตัวลงได้หากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่อง หรือตลาดเริ่มทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้บ้าง

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงสงคราม ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน และความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินเฟด เราแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯ - หลังจากที่เฟดได้เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% พร้อมกับส่งสัญญาณทยอยขึ้นดอกเบี้ยจนอาจแตะระดับสูงสุดที่ 4.00% ในปีหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิดถึงมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอลงหนักและเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาการแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด (Powell’s Testimony) โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่ชะลอลงจากผลกระทบของปัญหาเงินเฟ้อสูงและนโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวดมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) เดือนมิถุนายน ที่อาจลดลงสู่ระดับ 56 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ส่วนภาคการบริการอาจขยายตัวดีขึ้นในช่วงไฮซีซันของการเดินทางท่องเที่ยว โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.7 จุด

ฝั่งยุโรป - ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจชะลอตัวลงหนักจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลาง ทำให้ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยในฝั่งอังกฤษ ตลาดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤษภาคมจะอยู่ในระดับสูงถึง 9.1% กดดันให้การใช้จ่ายของผู้คนอาจชะลอตัวลง ซึ่งจะสะท้อนผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคมที่อาจหดตัว -0.7%m/m นอกจากนี้ ภาคการผลิตและการบริการของอังกฤษมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนมิถุนายน อาจลดลงสู่ระดับ 53.7 จุด และ 53 จุด ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับในฝั่งยุโรป ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่จะลดลงสู่ระดับ 92.7 จุด ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ทั้งภาคการผลิตและการบริการของยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนมิถุนายน อาจลดลงสู่ระดับ 53.8 จุด และ 55.5 จุด ตามลำดับ ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB ที่อาจให้มุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของ ECB ที่ชัดเจนขึ้น

ฝั่งเอเชีย - ตลาดประเมินว่าแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากที่ทางการจีนสามารถทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะช่วยให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) สามารถคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี ไว้ที่ระดับ 3.70% และ 4.45% ตามลำดับ ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการทยอยฟื้นตัวของจีน ทำให้ตลาดมองว่า ภาคการผลิตของญี่ปุ่นอาจขยายตัวดีขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 จุด นอกจากนี้ การทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะหนุนการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53 จุด ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.5% จากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงานและอาหาร รวมถึงการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.50% หลังเงินเฟ้อยังคงเร่งตัวสูงขึ้นกว่าเป้าหมายของ BSP ไปมาก

ฝั่งไทย - ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคมอาจขาดดุลราว -1.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นและปัญหาเงินบาทอ่อนค่าจะยิ่งหนุนให้ยอดการนำเข้าโตกว่า +18%y/y ในขณะที่ยอดการส่งออกอาจโตเพียง +8%y/y
กำลังโหลดความคิดเห็น