ในการประชุม กนง. ที่จะถึงนี้ คาดว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.50 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ดี กนง. คงเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระยะข้างหน้า ซึ่งยังมองความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 4/ 2565
เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงทยอยฟื้นตัว ในขณะที่ต้องเผชิญปัจจัยกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ กนง.มีแนวโน้มที่จะยังคงให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก และพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.50 ในการประชุมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีแม้จะชะลอลงจากปีก่อนหน้า การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) จากในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจากเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น ซึ่งจะไปบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีความเปราะบางอยู่แต่เดิมจากผลกระทบของโควิด-19 อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้การส่งออกในระยะข้างหน้าเผชิญความท้าทายมากขึ้น ขณะที่ประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยน้อยกว่าที่ควร โดยในไตรมาส 2/2565 มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ ดังนั้น กนง. น่าจะยังคงพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 0.50 ในการประชุม กนง. ที่จะถึงนี้ ในขณะที่แม้ว่า กนง. จะเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามค่าเงินในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ กนง. จะต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ ท่ามกลางเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้น คาดว่า กนง. คงพิจารณาตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจเป็นรอบๆ การประชุมไป โดยในรอบการประชุม กนง. ที่จะถึงนี้จะยังไม่พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ดี หากเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด และหากแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศยังไม่ทุเลาลง ในขณะที่การท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัวได้ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กนง. ก็อาจจะพิจาณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้มีความเหมาะสมได้ โดยอาจจะดำเนินการปรับขึ้นครั้งละร้อยละ 0.25 จำนวน 1-2 ครั้งในช่วงปลายปี โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์
- ท่ามกลางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะมีทิศทางชะลอลง แต่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการส่งสัญญาณของเฟดที่ยังคงให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเป็นหลัก ดังนั้น คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องอีกร้อยละ 0.50 ในการประชุมเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ ขณะที่เฟดอาจมีการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.00-2.25 อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่ชะลอตัวลง เฟดคงต้องขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ประเมิน
- ประเทศที่มีการดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับเฟดเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกและทิศทางค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชีย สิงคโปร์และมาเลเซียได้มีการเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงินตามสหรัฐฯ ไปแล้ว โดยสิงคโปร์ได้มีการคุมเข้มนโยบายการเงินผ่านการกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยน (Policy Band) ขณะที่มาเลเซียได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นประเทศแรกในอาเซียน โดยธนาคารกลางมาเลเซียมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.00 ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา
- หาก กนง. ยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของไทยและประเทศอื่นๆ นั้นกว้างขึ้น ส่งผลให้ไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกและทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งส่งผลให้ กนง. อาจจำเป็นต้องให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามีความเป็นไปได้ที่กนง. อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.75-1.00 ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายการเงินแบบตึงตัวของเฟดและเงินเฟ้อไทยที่คาดว่าจะยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ กนง. อาจให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจลดลงได้ อย่างไรก็ดี คาดว่า กนง. อาจยังไม่รีบส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่จะถึงนี้และเลือกที่จะพิจารณาตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจเป็นรอบๆ การประชุมไป
ทั้งนี้ ในการประชุม กนง. ครั้งนี้จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งมีความเป็นได้ที่ กนง. จะมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยจากทิศทางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังเปิดประเทศที่มีแนวโน้มดีกว่าที่ประเมิน ในขณะที่มุมมองต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.9 อาจจะไม่เปลี่ยนแปลง