บมจ.คอทโก้เมททอลเวอร์คส (CCM) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ และหากมีผู้จองซื้อหุ้นมากกว่าหุ้นที่เสนอขายดังกล่าว อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ โดยมี บล.เคทีบีเอสที เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
CCM ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กและเหล็กรูปพรรณชนิดต่างๆ เช่น ท่อเหล็กดำ ท่อเหล็กเหลี่ยม ท่อเหล็กแบน ท่อเหล็กตะเข็บเกลียว และท่อเหล็กชุบสังกะสีทั้งประเภทจุ่มชุบด้วยความร้อน (Hot-Dip Galvanizing) และการนำสังกะสีแผ่นม้วนขึ้นรูปท่อ (Pre-Zinc Steel Pipe) และการให้บริการรับตัดเหล็กในรูปแบบที่หลากหลายตามลักษณะการใช้งานของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ในปี 64 โรงงานทุ่งครุ และโรงงานระยองมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมดเท่ากับ 98,520 ตันต่อปี และ 78,000 ตันต่อปี โดยมีปริมาณการผลิตจริงทั้งหมดเท่ากับ 67,828 ตัน และ 35,033 ตัน ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการผลิตเท่ากับ 68.85% และ 44.91% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของแต่ละโรงงาน ตามลำดับ
บริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ โดยจะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับปริมาณความต้องการการใช้เหล็กรูปพรรณให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และปัจจัยสนับสนุนการลงทุนอื่นๆ เช่น โครงการงานก่อสร้าง และธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์และไฟฟ้า ที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
พร้อมกันนั้น ยังวางแผนเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในหลายภูมิภาค และมีเป้าหมายในการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย และให้บริการผลิตภัณฑ์เหล็กแบบครบวงจร (One-Stop Service) โดยมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกประเภทด้วยการพัฒนาและจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
บริษัทยังจะควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยการควบคุมอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิต โดยการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางด้านต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังควบคุมต้นทุนในการสั่งซื้อวัตถุดิบ โดยการวางแผนการสั่งซื้อวัตถุดิบจำนวนมากเพื่อสร้างความได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale)
รวมทั้งมีแผนในการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยการลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น 1) การลงทุนระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof Top) เพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้บริษัทฯ มีแนวโน้มการบริโภคพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิลและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่ลดลง คาดว่าจะดำเนินการติดตั้งระบบดังกล่าวแล้วเสร็จในปี 65 และ 2) การจัดทำโครงการคาร์บอนฟุตปรินต์ (Carbon Footprint) เพื่อประเมินก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการดำเนินงานของบริษัทฯ
ปัจจุบัน CCM มีทุนจดทะเบียน 600,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนเรียกชำระแล้ว 430,000,000 บาท
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 17 มี.ค.65 มี บริษัท คอทโก้ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด ถือุห้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 306,388,000 หุ้น หรือคิดเป็น 71.25% ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO คาดว่าจะลดสัดส่วนลงเหลือ 51.06% (กรณีมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญส่วนเกินทั้งจำนวน) นายวรพจน์ เพียรอภิธรรม 62,260,800 หุ้น คิดเป็น 14.48% จะลดลงเหลือ 10.38% นางกัณฐิญา ตันติปิฏก 30,638,900 หุ้น คิดเป็น 7.13% จะลดลงเหลือ 5.11% และนางอุษณี มีประเสริฐสกุล 30,638,900 หุ้น คิดเป็น 7.13% จะลดลงเหลือ 5.11%
ผลประกอบการช่วงปี 62-64 บริษัทมีรายได้รวม 2,182.87 ล้านบาท 2,542.78 ล้านบาท และ 3,701.08 ล้านบาท ตามลำดับ โดยแบ่งเป็นรายได้จากการประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ 1) รายได้จากการขายที่มาจากการผลิตและจัดจำหน่ายท่อเหล็กและเหล็กรูปพรรณ รวมทั้งธุรกิจการซื้อมาจำหน่ายไปผลิตภัณฑ์เหล็กประเภทอื่น คิดเป็นสัดส่วน 96-99% ของรายได้รวม 2) รายได้จากการให้บริการ ซึ่งมาจากการรับจ้างทำของ คิดเป็นสัดส่วน 1-4% ของรายได้รวม
ขณะที่หากพิจารณาแหล่งที่มาของรายได้ บริษัทมีลูกค้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 92-96% ของรายได้จากการขายและบริการ และลูกค้าในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 2-5% ของรายได้จากการขายและบริการ โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าประเภทซื้อมาขายไป นอกจากนี้ รายได้อื่นของบริษัทฯ ประกอบด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับ รายได้ค่าเช่า และรายได้ค่านายหน้า เป็นต้น
บริษัทมีผลขาดสุทธิในปี 62 เป็นจำนวน 117.91 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราขาดทุนสุทธิเท่ากับ 5.40% และมีกำไรสุทธิในปี 63-64 เป็นจำนวน 101.28 ล้านบาท และ 277.30 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.97% และ 7.49% ตามลำดับ
ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 2,940.99 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,886.35 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,054.63 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะของบริษัทฯ และหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทฯ กำหนด