บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 3 รุ่น ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.45% ต่อปี หุ้นกู้ 4 ปี อัตราผลตอบแทน 3.75% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 4 ปี 11 เดือน 30 วัน อัตราผลตอบแทน 3.90% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน และวันที่ 6-7 มิถุนายน 2565 นี้ เผยอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นระดับลงทุนได้ หรือ Investment Grade มั่นใจได้รับการตอบรับจากนักลงทุน
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยในครั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และใช้ในการประกอบธุรกิจและขยายกิจการของบริษัทต่อไป
"เรามีความมั่นใจว่าหุ้นกู้ของ MTC จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา เนื่องจากธุรกิจของ MTC มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งสะท้อนผ่านอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ จาก ทริสเรทติ้ง แสดงให้เห็นถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันและฐานเงินทุนที่แข็งแรงของบริษัท รวมทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดี และคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ตลอดจนแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท"
ทั้งนี้ MTC เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย ธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็น 5 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถ ธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน ธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 6,161 สาขา เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 362 สาขา โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ชุมชนมากขึ้นและมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้ถึง 6,500 สาขาภายในปี 2565 และ 7,200 สาขาในปี 2566 กระจายอยู่ใน 74 จังหวัดทั่วประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,448 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,375 ล้านบาท และมีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อ จำนวน 98,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 6,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.41 จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามการขยายสาขา และมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมที่ระดับ 1.65% สำหรับด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่พร้อมใช้จำนวนทั้งสิ้นกว่า 6,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของบริษัทและรองรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
นายปริทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทจะเร่งทำการตลาดเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ บจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง ที่ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยคาดหวังว่าในปี 2565 จะมียอดสินเชื่อประมาณ 6,000 ล้านบาท และ บจ.เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ ที่ให้บริการซื้อก่อน ผ่อนทีหลังกับกลุ่มลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่มาเพิ่มเติม โดยการเสนอสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้และของใช้ในบ้าน ตามนโยบาย ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง ซึ่งทั้ง 2 บริษัท ถือหุ้นโดย บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล เกือบ 100% โดยบริษัทตั้งเป้าพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อในปี 2565 ที่ 100,000 ล้านบาท จาก 3 ธุรกิจหลักคือ เมืองไทย แคปปิตอล และธุรกิจที่ตั้งขึ้นใหม่คือ เมืองไทย ลิสซิ่ง และเมืองไทย เพย์ เลเทอร์ เป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำธุรกิจในอนาคต โดยมีการวางแผนการทำตลาดทั้งลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดีและการเข้าหาลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการผ่านการดำเนินงานของสาขาที่มีบริการมากกว่า 6,161 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงการเปิดสาขาใหม่กว่า 700 สาขาต่อปี