xs
xsm
sm
md
lg

DELTA ราคาแผ่วสวนทางกำไรพุ่ง ผลงานในอินเดียซบ-ออเดอร์กลุ่มยานยนต์วูบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ฯ” ราคาแผ่วหลังถูก “คัดออก” จากการนำเข้าไปคำนวณดัชนี SET 50 และดัชนี SET 100 ล่าสุด แจ้งงบไตรมาสแรกกำไร 2,780 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับลดลงต่อเนื่องยืนเทรดระดับ 300 กว่าบาท โบรกเกอร์เห็นต่าง บล.ทิสโก้ แนะ “ขาย” เพราะผลดำเนินงานที่แย่ในอินเดียและปัญหาด้านประสิทธิภาพถือเป็นความไม่แน่นอนที่สำคัญ ขณะ บล.เคจีไอฯ มอง Q1 ยอดขายลด เหตุออเดอร์กลุ่มยานยนต์ลด คาดเร่งตัวช่วงครึ่งปีหลัง แนะให้ “ซื้อ” ราคาเหนือ 400 บาท เช่นเดียวกับ บล.หยวนต้า-บล.พาย มอง DELTA ผลงานดีบริหารความเสี่ยงได้

เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากหุ้น DELTA หรือ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเฝ้าจับตามาตลอด 2 ปี เพราะราคาหุ้นพุ่งทะยานโดยไม่มีปัจจัยสนับสนุน จนค่าพี/อี เรโชขึ้นไปแตะระดับ 100 เท่า แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯ งัดมาตรการกำกับการซื้อขายออกมาใช้ แต่ไม่ได้ผล เพราะหุ้น DELTA ยังทะยานไปแตะเฉียด 800 บาท สุดท้าย ตลาดหลักทรัพย์ทบทวนหลักเกณฑ์ฟรีโฟลตหรือสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อพิจารณาหุ้นที่จะนำเข้าคำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100 กระทั่ง DELTA ถูก “คัดออก” เพราะไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะเข้าสู่การคำนวณดัชนีทั้งสอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ทำให้ราคาปรับตัวลงตั้งแต่ปลายปี 2564 ซึ่งหลังจากไม่มีชื่อเข้าคำนวณดัชนี ทำให้ DELTA ถูกถล่มขายอย่างหนัก โดย 9 ก.ย.64 ราคารูดลงม้วนเดียวจากที่เคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 782 บาท และวูบมาเทรดที่ 498 บาท ช่วงปลายเดือนและนั่นก็ฉุดให้ดัชนีหุ้นร่วงลงตามหลายสิบจุด

นับจากนั้น หุ้น DELTA ราคาแผ่วลงเรื่อยๆ ทว่าราคาที่ซื้อขายแต่ละวันหวือหวา เรียกได้ว่า “ขึ้นแรง-ลงแรง” จากการหาข้อมูลพบว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.64 หุ้น DELTA ปิดที่ 400 บาท ลดลง 26 บาท หรือ 6.10% มูลค่าซื้อขาย 1,395.93 ล้านบาท วันที่ 29 ธ.ค. ราคาหุ้นปิดที่ 414 บาท ลดลงจากวันก่อน 26 บาทหรือ 5.91% ซื้อขายหนาแน่นที่ 3,598.74 ล้านบาท ก้าวขึ้นมาปี 65 หุ้น DELTA ราคาเทรดยังคงบวกลบแรงเช่นเคย เพราะเมื่อ 24 ม.ค. หุ้น DELTA ปิดที่ 371 บาท ลดลง 21 บาท หรือ 5.63% มูลค่าซื้อขาย 1,088.21 ล้านบาท และ 4 ก.พ. ราคาปิดที่ 390 บาท เพิ่มขึ้น 22 บาทหรือ 5.98% มูลค่าซื้อขาย 2,405.86 ล้านบาท ขณะที่ 15 ก.พ. ปิดที่ 418 บาท เพิ่มขึ้น 31 บาท หรือ 8.01% มูลค่าซื้อขาย 1,084.18 ล้านบาท ส่วน 2 มี.ค. ปิดที่ 366 บาท ลดลง 30 บาท หรือ 7.58% ซื้อขาย 1,889.44 ล้านบาท ขณะที่ 21 เม.ย. ปิดที่ 381 บาท เพิ่มขึ้น 38 บาท หรือ 11.08% มูลค่าซื้อขาย 1,630.53 ล้านบาท

และราคาหุ้น DELTA ตั้งแต่วันที่แจ้งงบไตรมาสแรกปีนี้ออกมาราคาหุ้นลดลงต่อเนื่อง กระทั่งหลุด 400 บาทอีกครั้งในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุด 10 พ.ค. ปิดที่ 332 บาท ลดลง 9 บาท หรือ 2.64% สวนทางผลกำไรไตรมาสแรกที่มี 2,780.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 1,756.77 ล้านบาท เพราะยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 29.3% เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมีรายได้เงินชดเชยค่าประกันความเสียหายจากอุทกภัยในเดือนสิงหาคม 2564 จำนวน 331 ล้านบาท

ผลงานอินเดียแย่ ความไม่แน่นอนที่สำคัญปี 65

บล.ทิสโก้ แนะนำ “ขาย” หุ้น DELTA หรือ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 286 บาท/หุ้น หลังสรุปข้อมูลจากที่ได้ประชุมกับผู้บริหาร DELTA เกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ จากรายได้ที่แข็งแกร่งที่ 742 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน โดยได้แรงหนุนจาก data center (195 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 77% จากปีก่อน) EV power (110 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน) และพัดลม (68 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อน) ส่วนอินเดียซบเซาลงมาที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 13% จากปีก่อน

ขณะที่ DELTA ยังคงเห็นอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในธุรกิจ EV และมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1.5 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 5 ปีจาก 500-600 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน โรงงานแห่งใหม่ที่บางปู (50 ไร่) จะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 4 ปี 2566 และดำเนินการภายในกลางปี 2566 โดยมีพื้นที่การผลิตรวมเกิน 48,000 ตร.ม. เทียบเท่ากับการขยายกำลังการผลิต 23%

อย่างไรก็ดี มีความกังวลเกี่ยวกับมาร์จิ้นในธุรกิจ EV เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูง และความต้องการที่เปราะบางในสหรัฐอเมริกา แม้ว่ายอดขายไตรมาส 2 ปีนี้คาดมีแนวโน้มทรงตัวเทียบไตรมาสก่อน เนื่องจากการปิดเมืองในจีนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของ data center ท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบที่สูงสำหรับชิ้นส่วน non-IC และห่วงโซ่อุปทานในยุโรป


สำหรับ ความกังวลหลักในมุมมองของ บล.ทิสโก้ คือ การดำเนินงานที่แย่ในอินเดีย อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.9% เทียบกับ 15.5% ในไตรมาสแรกปี 2564 และ 13.3% ในไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งคาดว่ามาจากการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ และปัญหาด้านประสิทธิภาพ ดังนั้นสภาพธุรกิจและแผนการขยายธุรกิจในอินเดียจึงยังเป็นความไม่แน่นอนที่สำคัญสำหรับปี 2565

ปัจจุบัน DELTA วางแผนที่จะเพิ่มการพึ่งพาชิ้นส่วนที่มาจากในประเทศ ลดการพึ่งพาซัปพลายเออร์จากจีน และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งผู้บริหาร DELTA เผยว่าจะรักษาเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ 10-20% ในปีนี้ด้วยสัดส่วน 45 : 55 ในช่วงครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลัง สะท้อนการชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกปีนี้ จึงแนะนำให้ “ขาย” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 286 บาท

Q1 ยอดขายลดลง เร่งตัวขึ้นครึ่งปีหลัง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ บล.เคจีไอฯ ประเมินกลุ่มยานยนต์ได้รับผลกระทบบางส่วนจากกรณีพิพาทรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่กลุ่ม data center ยังแข็งแกร่งความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และมีการหยุดผลิต โดยเฉพาะในทวีปยุโรป ส่งผลให้คำสั่งซื้อในกลุ่ม Automotive ถูกเลื่อนออกไป ทำให้ยอดขายของ DELTA ลดลงในไตรมาสแรกปี 2565 อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อจากกลุ่ม data center ยังคงแข็งแกร่งตามงบลงทุน (CAPEX) ของ CSPs ระดับแนวหน้า (เช่น Facebook, Google, and Amazon) ซึ่งตั้งงบ CAPEX เพิ่มขึ้น 10-8% จากปีก่อน ในปี 2565-2566 เนื่องจากยอดขายของกลุ่มยานยนต์คิดเป็น 15% ของยอดขายรวมยอดขายของกลุ่ม data center คิดเป็น 25% ของยอดขายรวม บล.เคจีไอฯ จึงคาดว่ายอดขายจาก data center น่าจะช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงของกลุ่มยานยนต์ได้บ้าง คาดว่ายอดขายของ DELTA ในไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ 664 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนแต่ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 22% ของประมาณการยอดขายทั้งปีของ บล.เคจีไอฯ

อย่างไรก็ดี สถานการณ์น้ำท่วมในไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้การดำเนินงานสะดุด โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 แต่จนถึงขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้นแล้วโดยมีปริมาณสินค้าในสต๊อกในระดับที่บริหารจัดการได้ อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อของกลุ่ม Automotive ที่ถูกเลื่อนออกไปในไตรมาสแรกปี 2565 (เนื่องจากผู้ผลิตรถหยุดการผลิต) เพิ่มแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้น บล.เคจีไอฯ จึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสแรกจะอยู่ที่ 21.3% ต่ำกว่าสมมติฐานเต็มปีของ บล.เคจีไอฯ ที่ 22.3% และต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ประมาณ 23%

ดังนั้น บล.เคจีไอฯ คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนและ 6% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 21% ของประมาณการกำไรปีนี้ของ บล.เคจีไอฯ โดยคาดว่ายอดขายของ DELTA จะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเนื่องจากระบายสต๊อกในช่วง low season เสร็จไปแล้ว และ สถานการณ์ของ supply chain ทั่วโลกดีขึ้น ดังนั้น ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจึงน่าจะทำให้บริษัทมีการประหยัดต่อขนาด และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น จึงคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 480.00 บาท ยังคงคำแนะนำซื้อ DELTA เนื่องจากบริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะเกาะตามกระแส mega trends ได้ (5G, IoT และ EV) ในครึ่งหลังปี 2565


ผลงานดีแม้มีความเสี่ยง เชื่อบริหารได้

บล.หยวนต้า แนะนำ “TRADING” หุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 430 บาท/หุ้น เพราะคาดกำไรปกติไตรมาสแรกปีนี้ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 64.2% จากปีก่อน เพราะกำไรเติบโตจากไตรมาสก่อนมาจาก GPM ที่ฟื้นตัวเด่น และการเติบโตของรายได้กลุ่ม Data Centerโดย แนวโน้มไตรมาส 2 DELTA จะเจอแรงกดดันจากภาวะสงครามยูเครนกระทบยอดขาย EV Car และการ Lockdown ในจีนทำให้ Raw Material บางส่วน Shortage อย่างไรก็ดี บล.หยวนต้า มองว่า DELTA ยังบริหารจัดการความเสี่ยงได้ บล.หยวนต้า คงประมาณการและราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 430.00 บาทต่อหุ้น อิง PER 60x หรือ +1.0SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

อย่างไรก็ตาม หากสงครามรัสเซียยูเครนลากยาวตลอดไตรมาส 2 ปีนี้ ความเสี่ยงการเกิด Recession จะเพิ่มขึ้น หุ้นอาจถูกตลาดปรับลด PE-Band

บล.พาย แนะนำ “ซื้อ” หุ้น DELTA ให้ราคาเป้าหมาย 419 บาท/หุ้น เพราะกระแส EV จะยังหนุนกำไรปี 2565 -2566 อย่างต่อเนื่อง จึงเพิ่มคำแนะนำจากขายเป็น “ซื้อ” และเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 58% เป็น 419 บาท อิง 51.7xPE’22E (+0.5SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี) คาดกำไรปี 2565 จะโตแตะ 9.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อน คำแนะนำนี้สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง หนุนจากอุปสงค์ในกลุ่มคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะกำไรสุทธิไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 58% จากปีก่อน และ 63% จากไตรมาสก่อน ที่เติบโตแข็งแกร่งเทียบปีก่อน เป็นผลจากรายได้ที่โตขึ้นอย่างน่าประทับใจ ส่วนในเชิงจากไตรมาสก่อน ได้แรงหนุนมาจากสินไหมทดแทนครั้งเดียวจำนวน 331 ล้านบาท และอัตรากำไรที่ขยายตัวขึ้น และกำไรแตะจุดสูงสุดของปีในไตรมาสแรกปี 2565 แต่พบว่าราคาหุ้นของบริษัทมีความผันผวนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาจากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก จึงนับเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นที่ดีหากราคาย่อตัวลงมาอีก

กำไร Q1 พุ่งกว่า 58% ดีมานด์สินค้าอื้อ


โดย DELTA ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1,756 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,024 หรือ 58.31% ซึ่งมียอดขายสินค้าและบริการไตรมาสนี้อยู่ที่ 24,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cloud Storage และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center พร้อมกับการเติบโตที่ต่อเนื่องของกลุ่มโซลูชัน สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) รวมถึงกลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน (Fan & Thermal Managements) ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 5,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ Custom design data center

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) งวดนี้ 2,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14.8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมด้านการวิจัย และพัฒนาในยุโรปและอเมริกาเหนือ รายได้เงินชดเชยค่าประกันความเสียหายจากอุทกภัยในเดือนสิงหาคม 2564 เพราะคลังสินค้าของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ บางส่วนถูกน้ำท่วม ส่งผลให้สินค้าคงเหลือบางส่วนของบริษัทได้รับความเสียหายมูลค่า 331 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ ได้รับหนังสือยืนยันการชำระค่าสินไหมทดแทน 9.9 ล้านดอลลาร์ หรือ 331 ล้านบาท จากบริษัทประกัน ซึ่งบริษัทได้บันทึกเป็นรายได้เงินชดเชยค่าประกันความเสียหายในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จในไตรมาสนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น