หุ้นไทยร่วง -8.99 จุด โบรก ฯ มองเฟดประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เป็นไปตามคาด เกิดแรงกระเพื่อมขายทำกำไรในหุ้นขนาดกลางและเล็ก รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งรับรู้งบไตรมาสแรกไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงิน เข้ามากดดันดัชนี ประเมินดัชนีคาดพรุ่งนี้แกว่งตัวไซด์เวย์ไร้ปัจจัยใหม่ กรอบแนวรับที่ 1,640-1,645 จุด และแนวต้านที่ 1,660-1,665 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 5 พ.ค.2565 ปรับตัวลดลง -8.99 จุด หรือ -0.54% โดยปิดตลาดที่ 1,643.30 จุด มูลค่าการซื้อขาย 77,457.05 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายในวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในแดนบวกภาคเช้า ก่อนที่จะปรับตัวลดลงในภาคบ่าย โดยในระหว่างวัน ดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,667.12 จุด ขณะเดียวกันปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,643.17 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 562 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 479 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 1,208 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +178.81 ล้านบาท และ นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +37.95 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -180.66 ล้านบาท และ บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -36.10 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,277.10 ล้านบาท ปิดที่ 154.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
2.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,204.15 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท ลดลง 3.50 บาท
3.BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,839.99 ล้านบาท ปิดที่ 12.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท
4.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,379.78 ล้านบาท ปิดที่ 209.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
5.JMT มูลค่าการซื้อขาย 2,194.24 ล้านบาท ปิดที่ 80.00 บาท ลดลง 5.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่ 154.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท หรือ 4.04%
2.BH ปิดที่ 161.50 บาท เพิ่มขึ้น1.50 บาท หรือ 0.94%
3.CPN ปิดที่ 62.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.05%
4.CP ปิดที่ 34.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.96%
5.HANA ปิดที่ 46.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.20%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.JMT ปิดที่ 80.00 บาท ลดลง 5.50 บาทหรือ 6.43%
2.SINGER ปิดที่ 51.75 บาท ลดลง 3.50 บาทหรือ 6.33%
3.KBANK ปิดที่ 147.50 บาท ลดลง 3.50 บาทหรือ 2.32%
4.ADVANC ปิดที่ 209.00 บาท ลดลง 3.00 บาทหรือ 1.42%
5.JMART ปิดที่ 58.00 บาท ลดลง 2.75 บาทหรือ 4.53%
ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,228.21 จุด ลดลง -8.41 จุด หรือ -0.38% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 976.98 จุด ลดลง -2.03 จุด หรือ -0.21% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 632.94 จุด ลดลง -13.79 จุด หรือ -2.13%
ขณะที่ บล. ทิสโก้ แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นลงและถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมากขึ้นตามหุ้นโลก จากปัจจัยกดดันต่างประเทศที่เป็นลบรอบด้าน ทั้งสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ยืดเยื้อ เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด การล็อกดาวน์ในจีน และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ล้วนสร้างความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำหรับหุ้นที่แนะนำในเดือนนี้ จะเน้นหุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดี โดยอย่างน้อยต้องเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนนายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน ช่วงต้นภาคเช้าปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่เริ่มเห็นการย่อตัวลงมาในช่วงท้ายภาคเช้า ก่อนจะพลิกกลับลงมาในแดนลบในช่วงบ่าย จากแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงหุ้นใหญ่ในกลุ่มแบงก์ที่มีแรงขายออกมาหลังจากประกาศงบฯไตรมาส 1/65 ออกมาแล้ว ทำให้กดดันดัชนีกลับมาเป็นลบ แม้ว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อคืนนี้ออกมาตามคาด โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% และการลดงบดุลไม่ได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน
อย่งไรก็ตามแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ ยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาช่วยหนุน ทำให้ภาพอัพไซด์ยังค่อนข้างจำกัด และดัชนีปรับลงมาหลุดแนวรับแรกที่ 1,650 จุดแล้ว จึงมองว่าตลาดยังมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก และทิศทางของภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนยังมีความกังวลและขายลดความเสี่ยงออกมาก่อน โดยประเมินแนวต้านที่ 1,660-1,665 จุด แนวรับ 1,640-1,645 จุด