'จระเข้' วางเป้ายอดขายปีนี้เติบโตต่อเนื่องคาดไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมรีแบรนด์ธุรกิจสี รุกตลาดสีพรีเมียม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม คาดไม่เกิน 3 ปี ยอดขาย 300 ล้านบาท ชี้วิกฤตโควิด สงครามยูเครนกระทบต่อต้นทุนการผลิต เร่งหาแหล่งผลิตวัตถุดิบสำรอง หลังจีนเข้มควบคุมโควิด
นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา "จระเข้" นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซมและตกแต่งครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคามากกว่า 30 ปี เปิดเผยถึงเทรนด์สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพว่า เรามองเห็นแนวโน้มดังกล่าวมา 2 ปีแล้ว ทำใหบริษัทฯ ต้องหาโปรดักต์ที่ขยายตลาดมาสู่วงการสี เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของกลุ่มลูกค้า (นิชมาร์เกต) แต่จะไม่เข้าไปแข่งขันในกลุ่มของธุรกิจสีในภาพใหญ่
"ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์จระเข้ในกลุ่มของกาวซีเมนต์ และกาวยาแนวมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมา เราได้มีขยายโปรดักต์ไลน์พวกเคมีภัณฑ์ เช่น ก่อสร้าง การกันซึม และในปีนี้เราจะมีการรีแบรนด์สีจระเข้ให้ชัดเจน เน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเดิมเราวางเป้ายอดขายธุรกิจสีเต็มที่ 300 ล้านบาท แต่ปีนี้เราคงไม่ได้คาดหวังมากนัก เนื่องจากมีการรีแบรนด์ธุรกิจสีใหม่ ต้องมาปรับวิธีการขายใหม่ ทำให้วางเป้าขายไว้ที่ 50 ล้านบาทในปีนี้"
อย่างไรก็ตาม ในงานสถาปนิก'65 ครั้งล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรม SEE JORAKAY เป็นสีที่ทำมาจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น รวมไปถึงสีทาอาคารอย่างกลุ่ม NATURAL COLOR ที่สามารถออกแบบตกแต่งได้หลากหลาย มีคุณสมบัติโดดเด่นในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เท่ากับต้นไม้ใหญ่ โดยในแผนการตลาด บริษัทฯ จะมุ่งเน้นตามคอนเซ็ปต์ "จระเข้ร่วมกันปกป้องทั้งบ้าน ปกป้องอาคาร" ซึ่งจะเสนอขายโซลูชันให้ลูกค้าอย่างครบวงจร
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรก จากแนวทางและกลยุทธ์ที่บริษัททำมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จระเข้ยังสามารถรักษาฐานลูกค้าได้ ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสแรกเติบโต เช่น กลุ่มเคมีภัณฑ์โตเกือบ 30% ขณะที่ในภาพรวมยอดขายไตรมาสแรกเติบโตกว่า 10%
ในเรื่องของการบริหารต้นทุนในการผลิตสินค้านั้น นายศุภพงษ์ กล่าวว่า มีปัญหามาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ซึ่งมีทั้งเรื่องโควิด ที่มีผลต่อในเรื่องซักพลายดีมานด์ และมีปัญหาเรื่องต้นทุนการขนส่ง ปัญหาเหล่านี้กระทบมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน และยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ได้รับผลกระทบหนักกว่าเดิม เนื่องจากเกิดสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย มีผลกระทบต่อต้นทุน หรือแหล่งสินค้าที่บริษัทนำเข้ามาจากยุโรปได้รับผลกระทบ ขณะที่ในหลายปีที่ผ่านมา โรงงานเคมีภัณฑ์ได้มีการย้ายฐานการไปตั้งโรงงานที่ประเทศจีน และด้วยนโยบายการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน
"การล็อกดาวน์ที่เมืองเซียงไฮ้ มีผลกระทบ เพราะสินค้าเคมีภัณฑ์จากเซียงไฮ้มีการส่งออกมายังประเทศไทย หากจะไปหาแหล่งอื่น จะมีต้นทุนขนส่งที่ไกลขึ้นแน่นอน ตรงนี้ทุกคนกระทบหมด ต้นทุนยังขึ้นไม่หยุด และเป็นปัจจัยหลักที่เราจะให้ความสำคัญ โดยที่เรามีการบริหารซัปพลายเชน ทำงานใกล้ชิดประสานงานกับซัปพลายเออร์ให้มากขึ้น แต่สุ่มเสี่ยงที่อาจจะสะดุดได้ ทำให้เราต้องหาแหล่งผลิตวัตถุดิบใหม่สำรองเพิ่มเติม เพื่อพยุงในเรื่องของการผลิต"
นายศุภพงษ์ กล่าวต่อว่า ทางจระเข้ได้ขยายตลาดไปสู่การปกป้องงานโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการต่อยอดจากงานโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ โดยครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่งานโครงสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทางยกระดับต่างๆ ไปจนถึงงานท่าเทียบเรือ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการทำตลาดสำหรับในปีนี้
สำหรับเป้าการขายในปีนี้วางไว้ที่ 3,000 กว่าล้านบาท แต่ละปีจระเข้เติบโตประมาณไม่ต่ำกว่า 10% และคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเกือบ 4,000 ล้านบาท สัดส่วนของธุรกิจสีประมาณไม่ถึง 10% และคาดว่าถึงตอนนั้นมูลค่าตลาดสีพรีเมียมจะมีประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน “จระเข้” มีสินค้านวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร และเป็นแบรนด์ไทยที่เข้าใจความต้องการของคนในภูมิภาค รวมทั้งยังพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า ควบคู่กับมุมมองในการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ โดยทุกกลุ่มสินค้าของจระเข้เป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล